ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 124-126
บทที่ 125
เฉินวั่งซูมองมือน้อยขาวผ่องอ่อนนุ่มบนข้อมือตนเอง ค่อนข้างจะตื่นเต้นอยู่ลึกๆ
ก่อนหน้านี้นางเก็บตัวถึงสามเดือนเพื่อเหยียนเจวี๋ย เหมือนกับถูกบีบให้พักการถ่ายละครสามเดือน สนิมขึ้นไปทั่วทั้งตัว ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดกรอบแกรบยังพอว่า อารมณ์บนใบหน้านั้นยังกำลังร่ำร้องบอกให้นางรีบแสดงละครให้ไวอีกด้วย!
ตัวนางนั้นไม่ได้แสดงหนึ่งวันก็กินข้าวไม่อร่อยแล้ว!
นี่อะไร โอกาสมาแล้ว แม้เกามู่เฉิงจะเข้ากองถ่ายละครมาพร้อมเงินทุน ฝีมือการแสดงต่ำสุดๆ แต่เรื่องมาถึงบัดนี้เฉินวั่งซูก็ไม่มีเวลาให้สนใจอะไรมากมายปานนั้นแล้ว
นางหายใจเข้าลึกๆ เปล่งเสียงอุทาน โบกผ้าเช็ดหน้าน้อยไปมา “ว้าย! พระชายาองค์ชายเจ็ด นี่ทรงทำอะไร”
ผู้ที่มายังหออิ๋นชุ่ยนี้ได้ถ้าไม่ใช่พวกมีเงินก็เป็นพวกมีเวลาว่าง พอได้ยินว่ามีเรื่องกันหูของแต่ละคนก็ตั้งเสียอย่างกับเสาอากาศ ดวงตากลอกมองมาอย่างว่องไว เพียงแต่ทุกคนล้วนถูกปิดประตูใส่หน้าดังปัง
เฉินวั่งซูมีสีหน้าหวาดหวั่นลนลาน ท่าทางเหมือนลูกแกะถูกคนลักพาตัว ดวงตากลับสำรวจดูสภาพภายในห้องอย่างละเอียด
ผู้ที่นั่งบนที่นั่งหลักนั้นคือเกาฮูหยิน มารดาบังเกิดเกล้าของเกามู่เฉิงกับเกาอี้เสียง
เทียบกับท่าทางข่มคนของนางในครั้งแรกที่ได้เห็นที่จวนฮู่กั๋วกง ครั้งนี้ทั้งตัวคนดูซีดเซียวลงมาก แม้แต่น้ำมันใส่ผมก็ไม่ได้ทา ตรงจอนผมมีลูกผมกระจุยกระจาย ใต้ตาดำเป็นวง สภาพเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน
เฉินวั่งซูยืนนิ่งแล้วก็สะบัดมือของเกามู่เฉิงออก ก่อนกุมตรงจุดที่ตนเองถูกจับไว้ด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เกาฮูหยิน พวกเราไม่มีความแค้นต่อกัน ไม่เคยไปมาหาสู่กัน เหตุใดจึงทำเรื่องเสียเกียรติเช่นนี้ออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย หากไม่มีธุระอะไร โปรดอภัยด้วยที่ข้าเฉินวั่งซูต้องขอตัวไปก่อน อีกประเดี๋ยวสามีข้ายังจะมาที่นี่เพื่อรับข้ากลับไปด้วยกัน”
นางเป็นคนห่วงเกียรติ แต่เหยียนเจวี๋ยไม่ใช่ เฉินวั่งซูโยนเสาค้ำทะเลตงไห่ ด้วยอาการตัวสั่นงันงก ท่าทางเหมือนเป็นดอกฝอยทองพืชกาฝากกำลังบอกว่า ‘ข้ามีสามีเป็นที่พึ่งพิง’
เกาฮูหยินเองก็ตกใจมากเช่นกัน “มู่เฉิง เจ้าลากเซี่ยนจู่เข้ามาด้วยเหตุใด”
เกามู่เฉิงเบ้าตาแดง “ท่านแม่ ท่านอย่าถูกนางหลอก พวกคนแซ่เฉินมีคนใดเป็นคนดีบ้าง ยามนี้ท่านพี่ถูกจับขังคุก ท่านปู่นิ่งเงียบ ข้าไปหาคนที่จวนองค์ชายสาม เฉินสี่หลิงถึงกับเปลี่ยนโฉมหน้า ทำพูดวกวนบอกปัดพวกเรา ท่านแม่ ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ พวกเขาต้องการสละท่านพี่ทิ้งเพื่อปกป้ององค์ชายสาม เพื่อปกป้องเกียรติยศของสกุลเกา! มิเช่นนั้นอาหญิงที่อยู่ในวังมีหรือจะมาล้มป่วยเอาพอดิบพอดีในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้
ท่านพี่มิได้มีปณิธานยิ่งใหญ่ แล้วทั้งหมดทำเพื่อใครกันเล่า ข้ารู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเขาจริงๆ ชนเผ่าอะไรนั่นฆ่าทิ้งแล้วก็แล้วไปสิ ถึงกับต้องการให้พี่ชายข้าชดใช้พวกเขาด้วยชีวิต! บุรุษสกุลเกามีไม่น้อย พวกเขาจะมีพี่ชายข้าหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน แต่ว่าท่านแม่ ท่านมีบุตรชายเพียงผู้เดียว ข้าเองก็มีพี่ชายแท้ๆ อยู่เพียงคนเดียว ปกติข้าคิดว่าข้าแซ่เกา มีอะไรให้ต้องกลัว! ท่านแม่ แต่วันนี้ข้านับว่าได้เห็นจนสิ้นแล้วว่าอะไรเรียกว่าท่าทีพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
เฉินวั่งซูเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ใช้พัดบังไว้ครึ่งหน้า ท่าทางราวกับบอกว่า ‘เรื่องนี้ข้าฟังได้หรือ’ “นี่พระชายาองค์ชายเจ็ดกำลังตรัสอะไร”
เกามู่เฉิงได้ยินแล้วก็โทสะพุ่งสูงสามจั้ง “ก็คดีฆ่าสตรีแปดนางอะไรนั่นมิใช่หรือ นั่นเป็นแม่สามีเจ้าต้องการทำร้ายเหยียนเจวี๋ย เกี่ยวอะไรกับพี่ชายข้าด้วย จะต้องเป็นเพราะพวกเจ้าสั่งให้เจ้าเมืองจางสืบสาวราวเรื่องไม่ยอมเลิกรา เหยียนเจวี๋ยถึงได้เคยไปที่ว่าการ มีคนเห็นเขาแล้ว เจ้าจงลากเหยียนเจวี๋ยไปกราบทูลฝ่าบาทว่าพวกเจ้าไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้แล้วเดี๋ยวนี้เลย”
เฉินวั่งซูมองเกามู่เฉิงด้วยสีหน้าแววตาประหนึ่งมองคนโง่ ทำเอาอีกฝ่ายโกรธจนผมแทบตั้งเลยทีเดียว
คราวนี้มิใช่เสแสร้ง…
ข้ารู้ว่าเกามู่เฉิงถูกสกุลเกาตามใจจนเสียนิสัยแล้ว แต่คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยนิดว่าจะตามใจจนทำให้เสียสมองไปด้วย!
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แทบจะเอาตัวแนบประตู นางคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงเบา
“เรื่องของราชสำนัก ข้าเป็นเพียงสตรีนางหนึ่งย่อมจะไม่ทราบเรื่องราวอันใด เรื่องวันนั้นคลี่คลายไปนานแล้ว ส่วนมูลเหตุนั้นคิดว่าเกาฮูหยินท่านน่าจะกระจ่างแจ้งดีที่สุด เหยียนเจวี๋ยไปที่ว่าการก็ด้วยต้องไปลงนามประทับลายนิ้วมือในคดีเก่า ถือเป็นการยุติคดี ข้าเพียงได้ยินข่าวว่าเมื่อคืนแม่ทัพเกาถูกจับตัว แต่รายละเอียดแน่ชัดก็เพิ่งจะได้ทราบจากวาจาพระชายาองค์ชายเจ็ดเมื่อครู่นี้”
นางพูดพลางแววตาวูบไหว กัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พี่หญิงมีเมตตาอารีเสมอมา แม่ทัพเกากับองค์ชายสามเป็นสหายที่สนิทที่สุด หากแม่ทัพเกาต้องการ พวกเขาย่อมจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง คงมิใช่ว่ามีความเข้าใจผิดอะไรในเรื่องนี้กันกระมัง”
เกามู่เฉิงเห็นนางพูดมีเหตุมีผลจริงจัง ท่าทางเหมือนว่าพวกตนคนแซ่เฉินสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง ดูเหมือนนอบน้อมถ่อมตัว อันที่จริงความหยิ่งยโสนั้นแทบจะบินออกมาแล้ว
นางนึกถึงเรื่องที่ช่วงที่ผ่านมานี้เวลาได้ยินคนในจวนซุบซิบนินทามักยกเอานางกับเฉินวั่งซูมาเปรียบเทียบกัน
กระทั่งคนเก็บของเสียนั่นยังรู้สึกว่าเฉินวั่งซูเป็นคุณหนูผู้สุภาพอ่อนโยนจากตระกูลขุนนางใหญ่ ย่อมจะรู้จักคำนึงถึงภาพรวม แม้แต่ถังขับถ่ายก็ยังหอม! ยามนี้นางโทสะอัดแน่นเต็มท้อง…นางอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง กลับมองเห็นเฉินวั่งซูมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง ก่อนคารวะเกาฮูหยินด้วยท่าทางวิตกกังวล
“พระชายาองค์ชายเจ็ดร้อนพระทัยวั่งซูเข้าใจดี เพียงแต่เรื่องนี้หม่อมฉันช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ สกุลเฉินของหม่อมฉันแยกบ้านกันนานแล้ว หม่อมฉันเองก็พูดอะไรกับทางฝั่งพี่หญิงได้ไม่มาก แต่กระนั้นคิดว่าต่อให้คิดเพื่อเป็นการดีต่อชื่อเสียงก็ทำแล้ว ทางองค์ชายสามคงจะไม่ทอดทิ้งไม่ดูดำดูดีแม่ทัพเกาอย่างส่งเดชแน่นอน เมื่อครู่นี้วั่งซูเข้ามาด้วยอาการตื่นตกใจเกินไป คนมากมายล้วนเห็นกันแล้ว หากฮูหยินรั้งข้าไว้นาน เกรงว่าจะเสื่อมเสียเกียรติได้”
เกาฮูหยินถลึงตาใส่เกามู่เฉิงทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด นางอ้าปากเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งอยู่บ้าง “เป็นมู่เฉิงกระทำการไม่ยั้งคิดเอง เรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับท่านจริงๆ หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
เฉินวั่งซูพยักหน้า มองสีท้องฟ้าเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากประตูไปทันที
ครั้นนางออกไปแล้วเกามู่เฉิงก็กระทืบเท้า “ท่านแม่ ท่านปล่อยนางไปได้อย่างไร นางผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเห็นเหยียนเจวี๋ยเป็นดั่งบุตรชายแท้ๆ เขาไปช่วยกราบทูลได้แน่นอน อีกทั้งนางก็เป็นเซี่ยนจู่ นับถือไทเฮาเป็นมารดา อาหญิงทั้งสองในวังล้วนไม่สนใจ กลับเป็นท่านบอกว่าต้องการใช้เรื่องเกี้ยวเป็นข้ออ้างเข้าวังไปขอร้องไทเฮา เฉินวั่งซูนางยังเป็นน้องสาวของเฉินสี่หลิงอีกด้วย ไม่ว่าทางใดถ้ามีนางอยู่จะต้องใช้ประโยชน์ได้แน่นอน”
เกาฮูหยินมุ่นคิ้ว มองเกามู่เฉิงปราดหนึ่งด้วยสายตาหมดหวัง “นี่เจ้ายึดติดเกินไปแล้ว แค่เพราะองค์ชายเจ็ดพึงพระทัยในตัวนาง เจ้าก็ถือสาไม่วางวาย! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง อย่าเปลืองเวลาอีกเลย ข้าทำเวรทำกรรมอะไรมากันแน่ถึงได้คลอดเด็กไม่รู้ความอย่างพวกเจ้าสองคนออกมา เจ้ายังเป็นคนสกุลเกา หากแม้แต่สถานการณ์แค่นี้ยังมองได้ไม่ชัด ก็ชวนให้ข้าผิดหวังเหลือเกินแล้ว” เกาฮูหยินพูดจบก็กวักมือเรียกมามาที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าไปจับตาดูเฉินวั่งซู นางดูเหมือนจะมีเรื่องอะไร”
เกามู่เฉิงได้ยินแล้วก็รีบวิ่งมาจับแขนเสื้อของเกาฮูหยินไว้แล้วสะบัดไปมา “ท่านแม่ ท่านดูสิ นี่มิใช่มีประโยชน์หรือเจ้าคะ”
เกาฮูหยินถอนหายใจ “ระหว่างที่รอเกี้ยวถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ บางทีแมวตาบอดอาจจะบังเอิญเจอหนูตายหาโอกาสพ้นวิกฤตอะไรพบได้พอดีก็เป็นได้ มิเช่นนั้นคราวนี้พี่ชายเจ้าคงรอดยากแล้วจริงๆ”
ไม้ปลุกสติของใต้เท้าจางทุบหัวเขาเข้าอย่างจังแล้ว หากอัครมหาเสนาบดีเกาไม่ช่วยปกป้องเขา ปล่อยให้จวนองค์ชายสามโยนบาปตามสบาย เช่นนั้นเกาอี้เสียงเข้าคุกแล้วก็หมดสิทธิ์จะออกมาได้อีก
ทว่าต้องทำอย่างไรถึงจะบีบให้คนเหล่านั้นจำต้องปกป้องเขา
เกาฮูหยินยังรู้สึกสับสนงุนงงอยู่บ้าง