ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 124-126
บทที่ 126
พอเฉินวั่งซูเดินพ้นประตูห้องก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของคนทั้งหลายในทันที
ทว่านางกลับทำเหมือนไม่เห็น เดินตรงไปหยุดเบื้องหน้าหญิงสาวที่ต้อนรับนางก่อนหน้านี้ “ปิ่นคู่นั้น วันนี้คงไม่ดูแล้ว ช่อบุปผาประดับมุกบนศีรษะเจ้าคู่นี้เหมาะกับเจ้ามาก ดูสะอาด อีกทั้งอ่อนโยน เพียงแต่ถ้าเปลี่ยนมุกเม็ดตรงกลางให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อยจะยิ่งงามกว่านี้” เฉินวั่งซูว่าแล้วก็ล้วงไข่มุกสีขาวเม็ดหนึ่งในแขนเสื้อมายื่นให้หญิงสาวนางนั้น “ให้เจ้า เจ้าชื่อว่าอะไร”
หญิงสาวนางนั้นหน้าแดงในทันใด “บ่าวชื่อว่าตงจูเจ้าค่ะ”
นางกำมุกเม็ดนั้นไว้ จวบจนเฉินวั่งซูเดินออกจากหออิ๋นชุ่ยไปแล้วนางก็ยังเหม่อลอยไม่ได้สติกลับมา
จากนั้นนางก็มองไข่มุกในมือ หากภรรยาของคุณชายเหยียนเป็นบุรุษจะดีมากเพียงไร…
เฉินวั่งซูใช้หางตาเหลือบมองคนที่ตามหลังมา ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เดินเข้าร้านน้ำชาฝั่งตรงข้ามด้วยฝีเท้ารวดเร็วแผ่วเบา เดินไปพลางยังมองซ้ายแลขวาไปพลาง
มามาชราที่สะกดรอยตามนางหัวใจกระดอนขึ้นมาอยู่ที่คอแล้ว เนื่องจากหวิดจะถูกคนจับได้อยู่หลายหน
เฉินวั่งซูผู้นี้ระแวดระวังปานนี้ หากมิใช่ลอบพบชายอื่นก็จะต้องมีความลับน่าตกใจอะไรอยู่แน่ๆ
เฉินวั่งซูเล่นแมวจับหนูหนำใจแล้วก็เดินเข้าห้องส่วนตัวด้วยท่าทางตกประหม่า นางประมาณเวลา คิดว่าคนที่เกาฮูหยินส่งมาน่าจะเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ติดกันและกำลังรอจะลอบฟังแล้วถึงได้หยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมารินให้เฉินเจาบ่าวชายที่คอยวิ่งทำธุระให้นางซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถ้วยหนึ่ง
เฉินเจามือสั่น ตกใจจนเกือบทำถ้วยชาตกใส่ ‘กระโปรง’ ตนเอง ปล่อยให้คุณหนูรินน้ำให้เขาใช้ได้เสียที่ใดกัน!
แต่ครั้นก้มหน้าลงเห็นกระโปรงนั้นก็ทำท่าจะร้องไห้ออกมา
เขาเป็นบุรุษอกสามศอก เอ่อ…ไม่ถึงสามศอกก็ต้องใกล้เคียง คุณหนูกลับต้องการให้เขาแต่งตัวเป็นบ่าวหญิงสูงวัย และยังให้สวมงอบด้วย
สิ่งที่ชวนให้คนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตาที่สุดคือตรงหน้าอกยังต้องยัดหมั่นโถวไว้สองลูกด้วย นั่นเป็นของที่มารดาเขาทำมาให้ คิดว่าขณะบังคับรถม้าถ้าเกิดหิวก็จะได้นำออกมากิน แต่ตอนนี้เขาไม่อยากกินมันอีกต่อไปแล้ว
เฉินวั่งซูวางกาน้ำชาลงอย่างแรง ก่อนจะทำมือเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียง
“เซี่ยนจู่ ท่านอย่าทำให้บ่าวลำบากใจอีกเลยเจ้าค่ะ บ่าวเป็นมามาที่ติดตามคุณหนูใหญ่เฉินบ้านรองออกเรือน ไม่สามารถทำเรื่องที่ไม่ดีต่อนางได้เป็นอันขาด เป็นเพราะว่าสมัยโน้นเซี่ยนจู่เคยมีบุญคุณต่อบ่าว บ่าวจึงได้ออกมาคุย”
เฉินเจาได้ยินแล้วก็ยกมือปิดปากตนเอง
เขาไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว ผู้ที่พูดคำเหล่านี้คือเฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูขยิบตาให้เขา ไม่ต้องพูดว่าในใจปลอดโปร่งโล่งสบายมากเพียงไร
คิดถึงตอนโน้น นางเคยแสดงละครชีวประวัติของสตรีคนดัง แสดงตั้งแต่วัยสาวไปถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ความสามารถทำนองนี้เดิมทีนางลืมไปสิ้นแล้ว โชคดีที่ได้ยินเจ้าเมืองจางสำแดงฝีมือถึงได้นึกขึ้นได้ นี่ก็ทันเวลาได้ใช้พอดี
“เจ้าเอาอายุมาข่มให้น้อยๆ หน่อย หากมิใช่เพราะยายแก่อย่างเจ้าแค่กรอกน้ำเมาไม่กี่จอกก็ออกมาเที่ยวพูดไปเรื่อยแล้ว เรื่องนี้มีหรือจะแพร่มาถึงหูข้า พี่หญิงกับข้าอยู่กันคนละบ้านแล้ว ปิดประตูทำอะไรข้าย่อมจะยุ่งเกี่ยวไม่ได้” เฉินวั่งซูพูดพลางลงน้ำเสียงหนักขึ้นหลายส่วน “แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของสกุลเฉิน ข้าไม่ยุ่งไม่ได้ คนแซ่โจวนั่นบัดนี้หาผลประโยชน์จากลู่ทางไม่ซื่อโดยเฉพาะ จะเป็นคนดีอะไรได้ สินค้าห้าลำเรือ? นี่คือต้องการเงินไม่ต้องการชีวิตแล้วใช่หรือไม่”
เฉินวั่งซูเบี่ยงตัวเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเสียงอีกรอบ หนึ่งคนแสดงสองบทบาท คราวนี้เริ่มแสดงเป็นมามาผู้นั้น
“คุณ…คุณ…คุณหนูรอง ท่านก็ทราบหมดแล้ว คุณหนูของพวกบ่าวก็ลำบากเช่นกัน นางเองก็อกสั่นขวัญแขวน แต่องค์ชายต้องการเงินก้อนใหญ่ นางจึงไม่มีหนทางอื่นแล้ว…บ่าวเตือนนาง นางก็ไม่ฟัง คราวก่อนเรือห้าลำถูกจับไปสองลำ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องเกิดเรื่องในไม่ช้าก็เร็ว”
เฉินวั่งซูตบโต๊ะดังปัง “เจ้ากลับไปบอกนางให้หยุดทันที มิเช่นนั้นก็อย่าตำหนิที่ข้าต้องขอให้ในตระกูลเปิดศาลบรรพชนแล้วลบชื่อนางทิ้งไป สกุลเฉินมีกฎเคร่งครัดมากเพียงไร เจ้าเป็นบ่าวที่เกิดในจวนย่อมจะกระจ่างแจ้งดีที่สุด!”
ไม่เพียงเฉินเจา แม้แต่มู่จิ่นก็ยังมองจนปากอ้าตาค้าง
หากคุณหนูของนางไปยืนใต้สะพานก็สามารถเปิดการแสดงได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว!
“คุณหนูรอง…บ่าวรับรองเจ้าค่ะ…” เฉินวั่งซูพูดพลางมองเฉินเจาปราดหนึ่ง
เฉินเจาก็ขยับปากเป็นคำว่า ‘คืนนี้’
“บ่าวรับรองเจ้าค่ะว่าคืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีครั้งต่อไปเป็นอันขาด คนพวกนั้นมิใช่คนที่คุยง่าย ครั้งนี้ตกลงกันเรียบร้อย พวกเขาจะเอาเรือมารับสินค้าแล้ว บ่าวขอรับรองแทนคุณหนูของบ่าวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน”
จากนั้นน้ำเสียงเฉินวั่งซูก็อ่อนลงหลายส่วน “เจ้าพูดเองก็จำที่พูดด้วย สลักเกียรติของสกุลเฉินไว้ในสมอง หากให้ข้าจับได้ว่ามีเรื่องที่ผิดต่อบรรพบุรุษอะไรอีก จะไม่อภัยให้เป็นอันขาด!”
“บ่าวทราบแล้ว! บ่าวขอตัวกลับแล้วเจ้าค่ะ!” เฉินวั่งซูพูดจบก็มองเฉินเจาปราดหนึ่ง
เฉินเจาสวมงอบให้เรียบร้อยพลางดันหมั่นโถวตรงหน้าอกตนเองเล็กน้อยด้วยท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ พยายามไม่ให้พวกมันตกลงไปที่สะดือ ก่อนซอยเท้าเดินบิดไปบิดมาตามอย่างมามาชรา เร่งฝีเท้าเดินลงด้านล่าง แล้วหายลับไปกลางตรอกเล็กทันที
เฉินวั่งซูหยิบขนมมาชิ้นหนึ่งแล้วหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง เป็นไปตามคาด พอเฉินเจาจากไปมามาชราที่มาลอบฟังผู้นั้นก็ออกจากร้านน้ำชาไปยังหออิ๋นชุ่ยในทันใด
นางยกมุมปากน้อยๆ “มีละครสนุกให้ดูแล้ว”
มู่จิ่นกลับมองเฉินวั่งซูหลายอึดใจด้วยท่าทางเหมือนอยากพูดบางอย่าง ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหว “คุณหนู ตัวอักษรเฉินสองตัวไม่สามารถเขียนด้วยขีดเดียวได้ บ้านรองตกที่นั่งลำบากแล้ว…พวกเรา…”
เฉินวั่งซูส่ายหน้า “บ้านรองเน่าเฟะมานานแล้ว มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของท่านย่า หากยอมให้พวกเขาชิงตำแหน่งประมุขตระกูลไปได้ เหตุใดจึงต้องแยกบ้านตั้งแต่อพยพลงมาเจียงหนาน พูดถึงที่สุดแล้วก็มิใช่คนบนเส้นทางเดียวกันเท่านั้นเอง”
อีกประการหนึ่งเฉินสี่หลิงเป็นบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว หากนางกระทำความผิดแล้วเกี่ยวอันใดกับสกุลเฉินเสียที่ใด!
องค์ชายสามดูเหมือนจะเป็นคนดีใจบุญ ลับหลังกลับสั่งให้เกาอี้เสียงและหลิวเจาหยางทำเรื่องที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ถึงเพียงนี้ คนที่เป็นผู้โดดเด่นที่สุดในการชิงตำแหน่งรัชทายาทกลับมาขายเกลือเถื่อนเสียเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย จิตใจดำมืดไปหมดแล้ว
เจ้าหนูน้ำเต้าที่เน่าเฟะย่อมต้องโยนทิ้งโดยปราศจากความลังเล
“ทว่าคุณหนูเจ้าคะ สกุลเกากับจวนองค์ชายสามเป็นพวกเดียวกัน ไม่แน่ว่าพวกเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ ต่อให้พวกเราบอกพวกเขาไปแล้วอย่างไรเล่า พวกเขาก็คงจะไม่ป่าวประกาศออกไปอยู่ดี เพราะหากองค์ชายสามล้มลง สกุลเกาก็ไม่ได้ประโยชน์ใด”
เฉินวั่งซูยกนิ้วหัวแม่มือให้มู่จิ่น “ไม่เลวนี่นา หมู่นี้เจ้าคิดเรื่องต่างๆ ได้มากกว่าเมื่อก่อนแล้ว”
นางพูดพลางมองไปยังหออิ๋นชุ่ยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “สกุลเกากับองค์ชายสามเป็นพวกเดียวกันจริง มิหนำซ้ำความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ก็แน่นแฟ้นยิ่งกว่าที่พวกเราคิดไว้ คำพูดเมื่อครู่ข้าเองก็ได้ยินแล้ว อัครมหาเสนาบดีเกายอมสละเกาอี้เสียงเพื่อตำแหน่งรัชทายาทขององค์ชายสาม”
สกุลเกาจะต้องตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะให้เกาอี้เสียงซัดทอดคนที่เกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้าคนอื่น เพื่อกันองค์ชายสามออกจากเรื่องนี้อย่างหมดจด
เฉินวั่งซูคิดว่าถ้านางเป็นที่ปรึกษาของทางองค์ชายสามก็คงจะหารือได้ผลลัพธ์เช่นนี้ออกมาเช่นกัน
คนแซ่เกาไม่ได้มีแค่เกาอี้เสียงผู้เดียว แต่องค์ชายสามมีเพียงหนึ่งเดียว
องค์ชายสามกับสกุลเกาไม่เพียงจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือ ยังถึงขนาดจะยอมเจ็บแค้นใจ จัดการลงโทษญาติพี่น้อง ปกป้องความเป็นธรรมเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของพวกเขาอีกด้วย
“ทว่ามีจุดหนึ่งที่เจ้าคิดผิดไป เกาฮูหยินกับเกามู่เฉิงบัดนี้มิใช่คนสกุลเกา…พวกนางเป็นเพียงญาติที่กำลังร้อนใจแทบคลั่งของเกาอี้เสียงเท่านั้น”
มู่จิ่นแจ้งใจในฉับพลัน “เพราะฉะนั้นเกาฮูหยินย่อมจะนำเรื่องนี้ไปขู่พวกเขา ให้พวกเขาช่วยเกาอี้เสียง มิเช่นนั้นก็จะเปิดโปงเรื่องเกลือเถื่อน แต่เมื่อเป็นเช่นนี้จะมิกลายเป็นว่าพวกเราช่วยมารร้ายฆ่าคนตนนั้นหรือเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปากก่อนส่ายหน้า “เกาอี้เสียงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.