X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 127-129

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 127

หากเกาอี้เสียงเป็นแก้วตาดวงใจผู้ถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสีในสายตาเกาฮูหยิน เช่นนั้นในสายตาขององค์ชายสามก็เห็นเป็นสหายร่วมกลุ่มสมองหมูที่เก่งแต่ปากและจะลากเขาลงน้ำไปด้วย

ส่วนในสายตาของอัครมหาเสนาบดีเกาเขาก็เป็นแค่นิ้วก้อย

ยามแพ้เดิมพันแล้วต้องเฉือนทิ้งนิ้วหนึ่ง เพื่อนิ้วหัวแม่มือที่สามารถใช้ประทับลายนิ้วมือรับเงินได้ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนใจชี้บอกด้วยความปวดใจว่าเฉือนนิ้วก้อยทิ้งแล้วกัน!

เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ลูบคาง คราแรกเกาฮูหยินไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะบีบให้คนเหล่านั้นจำต้องปกป้องเกาอี้เสียง แต่ครานี้นางได้ชี้วิธีให้อย่างกระจ่างแจ้งแล้ว

“คืนนี้เกาฮูหยินพาคนบุกไปท่าเรือ จับเรื่องที่จวนองค์ชายสามลอบขายเกลือเถื่อนได้ ใช้เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนเรียกร้องให้พวกองค์ชายสามปกป้องเกาอี้เสียง แต่ว่าความตามใจเกินควรและความโง่เขลาได้บดบังสองตาของนาง เหล่าจิ้งจอกเฒ่าที่แย่งอำนาจชิงผลประโยชน์กันจนชินแล้วมีแต่จะ…” เฉินวั่งซูพูดพลางทำท่าทางตัดฉับ “มีแต่จะหาข้ออ้างมาทำให้พวกนางเย็นลงก่อน จากนั้นก็หันไปกำจัดเกาอี้เสียงทิ้ง แล้วไปหาคนเคราะห์ร้ายที่เกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้ามาสักคน โยนบาปมหันต์นี้ใส่หัวเขา”

มู่จิ่นอ้าปากหวอ ก่อนจะลดเสียงลงกล่าวว่า “แต่ว่าคุณหนู เช่นนี้ไหนเลยพวกเราจะมิใช่เปลืองแรงเปล่าโดยที่ผลสุดท้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เปลืองหมั่นโถวที่มารดาของเฉินเจาทำให้เขาไปเปล่าๆ อีกด้วย”

เฉินวั่งซูหัวเราะหึๆ “แน่นอนว่าไม่เหมือนกัน คนเราหากไม่เคยมีหวังย่อมจะค่อยๆ เคยชิน รู้สึกว่าชีวิตของตนควรเป็นเช่นนี้ ทว่าหากมีความหวังแล้ว แต่ความหวังสูญสลายไป นั่นย่อมจะรู้สึกว่าผู้อื่นทำให้ชีวิตของตนน่าสังเวชเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เกาฮูหยินกับเกามู่เฉิงยังสามารถปลอบใจตนเองได้ว่าให้เห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก แต่รอถูกหลอกคราวนี้…จิ๊ๆ สกุลเกาแตกกันแล้ว…องค์ชายเจ็ดกับองค์ชายสามก็จะแตกกันด้วย…”

มู่จิ่นฟังแล้วก็มองเฉินวั่งซูด้วยสองตาแวววาว

คุณหนูของข้าฉลาดโดยแท้!

แม้องค์ชายเจ็ดจะเป็นคนโง่งมจนคุณหนูของข้าไม่อยากได้ แต่เกามู่เฉิงผู้นั้นจัดฉากแย่งสามีผู้อื่นก็สมควรแล้วที่จะถูกเล่นงานให้เละ!

ถัดจากนี้ถ้าเกาฮูหยินไม่ถูกหลอกแล้วเดือดดาลถึงขีดสุด เลิกรักษาความสัมพันธ์อันดีแล้วหันกลับมาเปิดโปงเรื่องเกลือเถื่อนให้ตายตกไปด้วยกัน นางก็น่าจะทำตัวเป็นนินจาเต่า รอเวลาเกิดเรื่องใหญ่ครั้งถัดไป

หลังจากวันนี้ขอเพียงมีเรื่องแค่เล็กน้อย คนแรกที่จะไปเต้นดิสโกบนหลุมศพองค์ชายสามย่อมมิใช่เฉินวั่งซู แต่เป็นเกามู่เฉิงกับมารดาของนาง

พวกนางทำตัวเป็นนินจาเต่าได้ แต่ผู้อื่นทำไม่ได้!

ทั้งเมืองหลินอันนี้มีคนตั้งเท่าไรที่กำลังรอจับผิดองค์ชายสามอยู่ เป็นต้นว่าเจียงเยี่ยเฉินที่ทำตัวเป็นนกขมิ้น*

อะไรนะ เจ้าว่าเจียงเยี่ยเฉินจิตใจดีงาม ไม่อยากเหยียบย่ำซ้ำเติม? เรื่องนี้เขาตัดสินใจเองไม่ได้เสียหน่อย! เกาฮูหยินรู้เรื่องเกลือเถื่อนได้อย่างไรกันนะ…อ้อ วันนั้นที่ริมทะเลสาบซีหูองค์ชายเจ็ดเผลอได้ยินเข้า

ไม่ว่าเป็นผู้ใด นางเฉินวั่งซูก็บริสุทธิ์ไร้เดียงสายิ่งกว่าลูกแกะบนเนินเขาเสียอีก!

รอเพียงนกปากซ่อมกับหอยกาบยื้อแย่งกัน เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์** แล้ว!

เฉินวั่งซูคิดแล้วก็พออกพอใจยิ่ง วันนี้ได้เพลิดเพลินกับละครจนสมใจอยากแล้ว แค่รอผ่านไปอีกไม่กี่วันนางก็จะได้จดในสมุดเล่มน้อยแล้วว่า ‘เจ้าหนูน้ำเต้าคนที่สาม…จบเห่!’

“เจ้าเกาะหน้าต่างดูอะไร นี่ยังมีของกินอยู่เต็มโต๊ะ นั่งลงกินด้วยกัน ขนมพุทรา*** นี้ไม่เลว เนื้อเนียนละเอียดอย่างยิ่ง”

เฉินวั่งซูพูดแล้วก็กวักมือเรียกมู่จิ่น

มู่จิ่นรีบหดศีรษะกลับมา “คุณหนู บนถนนครึกครื้นยิ่งนัก บ่าวเห็นมีคนกำลังป่าวร้องกว่านิมิตมงคลอยู่ด้วยเจ้าค่ะ!”

เฉินวั่งซูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาแล้ว นางจึงหันไปเกาะหน้าต่างแล้วมองออกไปเช่นกัน

ให้ตายสิ! สิ่งที่เห็นคือคนที่ด้านล่างเริ่มตีฆ้องร้องป่าวว่า ‘นิมิตมงคล นิมิตมงคล! ในที่นานอกเมือง ขุดพบนิมิตมงคลแล้ว! นิมิตมงคล นิมิตมงคล! แคว้นต้าเฉินของเราจะรุ่งเรืองแล้ว!’

เฉินวั่งซูฟังเสียงกลองเสียงประทัดนั้นแล้วในใจก็เต้นตุบๆ

บทพูดตัวร้ายตรงตามมาตรฐานสุดๆ!

นิมิตมงคลอะไร นี่มิใช่อุบายที่ขุนนางกังฉินชอบใช้เวลาที่ต้องการมอมเมาทรราชหรือไร นี่คือคนถ่อยเจ้าเล่ห์ต้องการร่ำรวยและได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นแล้วถึงได้ใช้ไม้นี้ออกมา

ขอเพียงมีปากเมฆรูปร่างเหมือนอุจจาระที่ขอบฟ้าก็ยังพูดให้กลายเป็นมังกรเทพมาเยือนได้ เมฆสองก้อนเคลื่อนชนกัน นั่นคือแปดน้ำเต้าวิเศษถือกำเนิด มองไม่ออกว่าเป็นรูปร่างอะไร…นั่นคือแผนที่ปรากฏ เป็นลางบอกว่าจะกอบกู้แผ่นดินได้!

เฉินวั่งซูยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ หนทางสู่ความร่ำรวยและได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นดีเพียงนี้ แต่นางถึงกับยังไม่ได้ใช้ ปล่อยให้คนชิงตัดหน้าเสียได้

“ประเดี๋ยวก่อน? เช้าวันนี้ไป๋ฉือบอกว่าอะไรนะ บอกว่าเหยียนเจวี๋ยไปทำอะไร” เฉินวั่งซูพลันนึกขึ้นได้ ในใจมีลางสังหรณ์ในทางดี

มู่จิ่นยามนี้ราวกับกำลังเกิดอารมณ์ฮึกเหิม “คุณหนู กั๋วกงน้อยไปชานเมือง ในหมู่บ้านขุดของบางอย่างได้เจ้าค่ะ…”

นางพูดจบแล้วก็ยังไม่ได้สติ แทบจะชะโงกออกไปครึ่งตัว อยากจะให้คอยืดได้เหมือนยาง จะได้มองเห็นนิมิตมงคลนั่นได้ชัดเจนว่าเป็นของหายากอะไรกันแน่

เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็ส่งเสียงดีใจออกมาทันที เหยียนเจวี๋ยผู้นั้นถึงจะเปลี่ยนไส้ในแล้วก็ยังเป็นขุนนางกังฉินอยู่ดี!

ทีนี้นางก็หายเจ็บใจแล้ว ยืนที่ริมหน้าต่างเงียบๆ เขย่งเท้ามองดู ใช้หางตาเหลือบไปก็พบว่าบรรดาฮูหยินและสตรีชั้นสูงทั้งด้านบนและด้านล่างร้านน้ำชาล้วนแต่ชะโงกหน้าออกไปราวกับเป็นห่านที่รอถูกคนลากคอ

“เป็นนิมิตมงคลที่ปรากฏในหมู่บ้านข้า เป็นนิมิตมงคลที่ปรากฏในหมู่บ้านข้า!” ชายอ้วนตัวขาวที่สวมชุดตัวยาวสีแดงสดและสวมห่วงคอทองคำผู้หนึ่งตบหน้าอกจนพุงกระเพื่อมพลางร้องเสียงดังเอ็ดอึงด้วยอารามตื่นเต้นไม่หยุด

เฉินวั่งซูมองไปที่ด้านหลังเขาแล้วก็หวิดจะพ่นน้ำออกมา

นั่นเป็นรากไม้ขนาดมหึมา ลักษณะยุ่งเหยิง เป็นสิ่งที่มีรูปร่างไม่แน่ชัดอย่างยิ่งยวด หากคนสายตาสั้นมากๆ มองไปกลับจะเห็นเหมือนเป็นมังกรที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟันตัวหนึ่ง รากไม้รูปมังกรยักษ์นี้ฟื้นคืนชีวิต กลายเป็นสีเขียวทั้งราก ดูไปแล้วกลับให้ความรู้สึกว่าเปี่ยมด้วยพลังชีวิต

ส่วนที่เหมือนจะเป็นหลังของมันข้างบนนั้นสามารถมองเห็นมังกรน้อยตัวหนึ่งได้รางๆ ที่บอกว่ารางๆ เป็นเพราะถ้าพูดให้ชัดมันก็เป็นแค่กิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่ดูไปแล้วเหมือนเป็นลูกงูที่ยังไม่กลายเป็นมังกร

ลูกงูนี่เหี่ยวเฉาแล้ว ตรงปลายด้านบนเป็นสีเหลือง ดูแห้งกรอบแกรบอย่างมาก

นี่เป็นนิมิตมงคลที่เทพองค์ใดสร้างขึ้น จะมีความหมายแฝงอยู่เยอะเกินไปแล้วกระมัง!

บนตัวรากไม้มังกรยักษ์นั้นคลุมด้วยผ้าไหมแดง คนผิวขาวตัวอ้วนชี้ชวนให้คนดูด้วยท่าทางปลื้มปีติ “เห็นหรือไม่ นี่คือหัวมังกร นี่คือลำตัว ตรงนี้…ตรงนี้เป็นหางมังกร มังกรนี้บินขึ้นฟ้า ไม้แห้งเหี่ยวกลับมามีชีวิต มีนัยว่าแคว้นต้าเฉินของเราจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การนำของฝ่าบาท จะสร้างความรุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง นี่เป็นลางถึงความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของแว่นแคว้น! ลางถึงความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของแว่นแคว้น! นี่เป็นต้นไม้เก่าแก่อายุนับร้อยปีในหมู่บ้านข้า เมื่อปีกลายจู่ๆ ก็เฉาตายไป ข้าให้คนตัดทิ้งแล้ว แต่คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยนิดว่าหน้าไถดินปีนี้มันถึงกับ…”

ชายอ้วนตัวขาวพูดด้วยท่าทางคึกคัก ผู้นำกองราชองครักษ์ที่ขี่ม้าอยู่ผู้หนึ่งก็พลันกระแอมหนักๆ เสียงหนึ่ง

ชายอ้วนตัวขาวตัวสั่น จากนั้นก็เริ่มกลับมาพูดซ้ำๆ ราวกับเป็นพี่สะใภ้เสียงหลิน* “นี่คือนิมิตมงคล นิมิตมงคล นิมิตมงคลมาเยือนหมู่บ้านของข้าแล้ว”

เฉินวั่งซูทำเสียงจุปากสองที ทอดสายตามองไปก็เห็นผ้าผูกผมปลิวไสวของเหยียนเจวี๋ยอยู่ตรงปากตรอกเล็กเส้นหนึ่งตามคาด

จะว่าไปก็พิลึก ผ้าผูกผมของคนผู้นี้คล้ายว่ามีเครื่องเป่าลมเป็นของตนเอง ไม่ว่ามีหรือไม่มีลมก็ล้วนจะปลิวไสว ทำให้เขาคนนี้ดูสง่างามและเป็นอิสระขึ้นหลายส่วน

เขาเอนตัวพิงกำแพง ในมือยังถืออาวุธสีส้ม ไม่ใช่สิ ข้างมือยังมีเฉิงอู่ผู้เป็นบ่าวชายคนใหม่ยืนอยู่ด้วย

บทที่ 128

เฉิงอู่ผู้นี้หลังตรงแหน็ว ดูท่าทางเหมือนเป็นต้นหอมที่โตในป่า

ทว่าใบหน้านั้นไม่ได้เหมาะกับรูปร่างของเขาสักนิด หากให้บรรยายด้วยคำห้าพยางค์ นั่นก็คือ ‘ดาษดื่นธรรมดา’ หากมีคนมองไปจะเห็นว่าเขาหน้าตาเหมือนบุตรคนที่สามของสกุลจาง พอมองอีกที…เอ๊ะ! นี่มิใช่บุตรคนที่สี่ของสกุลหลี่หรือไร พอดับตะเกียง นี่ต้องเป็นบุตรคนรองของสกุลหวังแน่ๆ

เฉินวั่งซูหมดความสนใจต่อเขาในทันที เอาแต่จ้องมองเหยียนเจวี๋ย

และประหนึ่งว่ารู้สึกได้ถึงสายตาอันร้อนแรงของนาง เหยียนเจวี๋ยจึงมองมาเล็กน้อยพลางส่งยิ้มมาให้เฉินวั่งซู

เฉินวั่งซูใจแกว่ง ศอกกระตุก ไม้ค้ำหน้าต่างที่ค้ำอยู่นั้นจึงหล่นลงไป

นางลอบอุทานว่าแย่แล้ว แม้นางจะชมตนเองเป็นเฉินจินเหลียน จงใจทำไม้ตกใส่ซีเหมินเจวี๋ย แต่ก็ไม่ได้อยากจะทำไม้ตกใส่ตาแก่ลามก!

“ภรรยา ข้ามารับเจ้ากลับจวนแล้ว”

เฉินวั่งซูได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ก็ชะโงกหน้าออกไป เหยียนเจวี๋ยที่ก่อนหน้านี้ยังยืนอยู่ที่ปากตรอก เพียงพริบตาเดียวกลับมาอยู่ที่ด้านล่างของร้านแล้ว

เขาแหงนหน้ามองมาด้านบนด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม รอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า

ไม้ค้ำหน้าต่างนั้นอยู่ในมือเขา เขาเคาะมันเบาๆ ดูแล้วกลายเป็นท่าทางน่ารักน่าชังอย่างไม่น่าเชื่อ

เฉินวั่งซูยกมือกุมจมูก ปิดหน้าต่างดังปัง แล้วพามู่จิ่นเดินลงไปชั้นล่างทันที

ยังดีที่ทุกคนล้วนกำลังดูชายอ้วนตัวขาวผู้นั้นแสดงนิมิตมงคล หาได้ให้ความสนใจทางด้านนี้ไม่

“เฉินเจารอเจ้าอยู่ตรงปากตรอกด้านนั้น ทางนี้คนเยอะเกินไป มาไม่ได้แล้ว ลำบากภรรยาเดินไปสักหน่อย ระวังเท้าด้วย ไม่รู้ว่าผู้ใดทำหนังหมูตกไว้ ภรรยาอย่าเหยียบเข้าเสียเล่า มันลื่นยิ่ง”

เฉินวั่งซูก้มหน้ามอง ด้วยก่อนหน้านี้คนเบียดเสียดกันจึงมีข้าวของที่คนซื้อจากตลาดถูกเบียดจนร่วงหล่นอยู่ไม่น้อย มิใช่แค่หนังหมู ยังมีพวกผลไม้ถั่วลันเตาต่างๆ กลิ้งอยู่เต็มพื้น

นางกำลังจะพยักหน้า กลับเห็นเหยียนเจวี๋ยยื่นมือมาประคองนางไว้แล้ว เขาจูงมือนางเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาสวนทางกับฝูงชน มุ่งหน้าไปยังปากตรอกอย่างรวดเร็ว

ไม่ถึงครู่เดียวนางก็มองเห็นเฉินเจาที่นั่งกินหมั่นโถวสีขาวอยู่ริมขอบรถม้า เขาเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดของตนเองแล้ว ดูท่าทางสบายขึ้นมาก

พอเห็นเฉินวั่งซูมองหมั่นโถวของตน เฉินเจาก็ซ่อนหมั่นโถวไว้ด้านหลังด้วยความเก้อเขิน เช็ดเศษที่ติดบนปากก่อนว่า “มารดาข้าทำให้ โยนทิ้งก็เสียดายน่ะขอรับ”

เฉินวั่งซูรู้สึกอบอุ่นในใจจึงโยนเงินให้เขาก้อนหนึ่ง “เอากลับไปซื้อเนื้อซื้อชุดฤดูหนาวเพิ่มให้มารดาเจ้า”

ดวงตาเฉินเจาสว่างวาบในชั่วพริบตา คราวหน้ายังมีงานให้ต้องสวมกระโปรงอีกหรือไม่ ข้าทำได้! จริงๆ นะขอรับ!

เฉินวั่งซูขึ้นรถม้าไปอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ว่าบ่าวชายของตนกำลังจะเดินทางผิดโดยยินยอมพร้อมใจ

 

“นิมิตมงคลนั้นเป็นฝีมือของท่าน? ชายอ้วนตัวขาวผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน”

เหยียนเจวี๋ยมองมายังเฉินวั่งซูด้วยความแปลกใจ “ข้าไม่เคยแพร่งพรายให้ภรรยารู้แม้แต่ครึ่งคำ แต่เจ้าก็ยังเดาได้? ภรรยาข้าจะฉลาดเกินไปแล้ว”

เฉินวั่งซูมองเขาปราดหนึ่งด้วยสายตาเหยียดหยาม “อยากประจบสอพลอก็ทำให้เนียนหน่อย เช้าวันนี้ท่านมิใช่รีบร้อนไปที่หมู่บ้านนั่นหรือไร”

เหยียนเจวี๋ยแบมือ ท่าทางเหมือนบอกว่า ‘ถูกรู้ทันเสียแล้ว’

“ชายอ้วนตัวขาวผู้นั้นเป็นคนที่ข้าหามาโดยเฉพาะ ประจวบเหมาะว่าในช่วงที่เกาอี้เสียงและหลิวเจาหยางกลับมาจากเผ่ามู่ซี ต้นไหว* แก่ต้นหนึ่งในบ้านเขาตายไปพอดี ข้าเคยเห็นความหมายแฝงของต้นไหวในหนังสือ มักจะมีความเกี่ยวพันกับพวกภูตผีสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

เฉินวั่งซูเข้าใจได้ในทันที นางมองเหยียนเจวี๋ยด้วยสายตาลึกซึ้งปราดหนึ่ง

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ยังเชื่อครึ่งระแวงครึ่งต่อองค์ชายสาม มีความสงสารเห็นใจอยู่ แต่เมื่อนิมิตมงคลนี้ปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าด้านความรู้สึกจะเป็นอย่างไร องค์ชายสามผู้นี้ก็ไร้วาสนากับตำแหน่งใหญ่อย่างเด็ดขาดแล้ว

เหยียนเจวี๋ยกะพริบตาปริบๆ พร้อมยิ้มตาหยี ดูท่าทางงงงวยเสียประหนึ่งว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความบังเอิญ เขาไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อนเสียหน่อย

แสดง! ท่านแสดงให้เต็มที่! ประธานบริษัทสมัยนี้ยังควบอาชีพราชาจอเงินด้วยหรือไร

“นิมิตมงคลนี้มีนัยลึกซึ้งเกินไป ท่านไม่อยากมีชื่อข้องเกี่ยวข้าก็เข้าใจ แต่พ่อค้าไม่ทำการค้าที่ตนเองไม่ได้กำไร ท่านทำเรื่องนี้ที่สุดแล้วก็ต้องมีผลประโยชน์อื่นเกี่ยวข้อง”

ทั้งใจนางต้องการเป็นตัวร้าย เป็นฝ่ายออกการโจมตีสังหารแปดทิศ แต่เหยียนเจวี๋ยไม่เหมือนกัน เขาอยากแต่จะรักษาตัวรอด แสดงว่าถ้าเอาชนะไม่ได้เขาก็ไม่สู้ การที่เขาทำเรื่องนี้ผิดไปจากนิสัยของเขา

เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็หุบยิ้ม “ชาวเผ่ามู่ซีปราศจากความผิด ข้าเพียงแต่ทนเห็นคนร้ายตัวจริงลอยนวลเหนือกฎหมายเพราะแค่เป็นบุตรชายของฮ่องเต้ไม่ได้เท่านั้นเอง”

เฉินวั่งซูอึ้งงันไป ก่อนจะพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง “มิผิด”

เหยียนเจวี๋ยมองสีหน้านางเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มขึ้นมา “แน่นอนว่าเจ้าพูดถูก ข้าเป็นพ่อค้า พ่อค้าไม่ทำการค้าที่ตนเองไม่ได้กำไร ประเดี๋ยวเข้าวังเจ้าก็จะได้รู้ถึงบทบาทของนิมิตมงคลแล้ว”

เฉินวั่งซูเห็นเขาลีลาไม่ยอมบอกก็ทำท่าทางเฝ้ารอออกมาอย่างให้ความร่วมมือยิ่งยวด

กล่าวตามตรงนางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าที่เหยียนเจวี๋ยใช้ลูกไม้นี้ออกมา แต่ยกความดีความชอบให้ชายอ้วนตัวขาวผู้นั้นทั้งหมด ส่วนตนเองก็ไม่ได้ร่ำรวยและได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นเพราะต้องการทำอะไร

จากนั้นคิดว่าเหยียนเจวี๋ยคงจะสั่งไว้แล้ว เฉินเจาจึงได้บังคับรถม้าตรงไปวังหลวง

แม้ว่าพวกนางจะใช้ทางอ้อม แต่นิมิตมงคลนั่นป่าวประกาศโอ้อวดไปตามถนนจนเสียเวลาไปมากจึงมาถึงแทบจะพร้อมกันกับพวกนาง

เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยลงรถม้าแล้วก็ปะปนเข้าไปอยู่กลางขบวนคุ้มกันนิมิตมงคล

เหยียนเจวี๋ยเข้าวังก็แทบไม่ต่างจากการกลับจวน ทหารยามเฝ้าประตูวังล้วนคุ้นเคยกับเขาทุกนาย จึงไม่มีใครขวางไว้แม้แต่ผู้เดียว

“คุณชายเองก็เห็นนิมิตมงคลนั้นแล้ว ฝ่าบาททรงได้ยินข่าวก็ดีพระทัยเหลือเกิน!”

เหยียนเจวี๋ยหัวเราะหึๆ “นั่นสิ เมื่อเช้านี้ได้ยินข่าวข้าจึงรีบวิ่งแจ้นไปดู ที่ดินของชายอ้วนตัวขาวผู้นั้นอยู่ไม่ไกลจากข้านัก แต่ดันเป็นเขาได้ประโยชน์ไปเสียแล้ว ช่างไม่มีบุญวาสนาเอาเสียเลย!”

ทหารยามที่เห็นชัดว่าเป็นหัวหน้าฉีกยิ้ม เอ่ยพลางเล่นหูเล่นตา “คุณชายเกิดในตระกูลมั่งคั่ง ซ้ำยังได้แต่งงานกับเซี่ยนจู่ บุญวาสนานี้ผู้อื่นสู้ไม่ได้ เพียงแต่เกรงว่าเจ้าอ้วนตัวขาวผู้นี้คงจะได้ก้าวเดียวขึ้นสวรรค์* แล้ว นิมิตมงคลเช่นนี้ปรากฏครั้งล่าสุดน่าจะเมื่อสิบปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่ท่านพ่อข้ายังเป็นทหารเล็กๆ โน่น เมื่อวานแม่ทัพเกาเกิดเรื่อง ฝ่าบาททรงพระพิโรธหนักมาก ทุกคนในวังต่างจิตใจระส่ำระสาย พอมีนิมิตมงคลนี้แล้วถึงได้แย้มพระสรวลออก พวกข้าพี่น้องทั้งหลายเองก็นับว่าได้พ้นวิกฤต รักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ได้แล้ว ตอนนี้มานึกดู นี่ก็เป็นบุญใหญ่หลวงแล้ว!”

เหยียนเจวี๋ยตบบ่าเขา “นั่นน่ะสิ! เพื่อฉลองที่พี่ชายทั้งหลายรอดพ้นความตายมาได้ วันหน้าจะขอเชิญพวกท่านไปดื่มสุรากัน! แต่บอกไว้ก่อน ถนนสายเริงรมย์นั้นข้าไม่กล้าไปแล้ว ข้าเป็นคนมีภรรยาแล้ว”

หัวหน้าทหารยามผู้นั้นหัวเราะฮ่าๆ ก่อนลดเสียงลงพูดว่า “ฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์และมอบหมายงานแก่เหล่าองค์ชายแล้ว คุณชายเองก็…อาศัยลมหนุนนี้ตามให้ทันไปด้วยน่าจะดี”

เหยียนเจวี๋ยส่งสายตาซาบซึ้งใจให้เขา ตบบ่าเขาอีกสองสามที แล้วถึงพาเฉินวั่งซูไล่ตามนิมิตมงคลนั้นเข้าไป

เฉินวั่งซูมองทหารยามผู้นั้นปราดหนึ่งด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพื่อนกินของเหยียนเจวี๋ยดูท่าทางยังมีสองสามคนที่ใช้ประโยชน์ได้

เหยียนเจวี๋ยคล้ายว่ามองความคิดในใจเฉินวั่งซูออกแล้วจึงลดเสียงลงและขยับไปพูดใกล้ๆ “ภรรยา นั่นคือจั่วหลิ่ง บุตรชายของแม่ทัพจั่ว แม่ทัพจั่วเป็นทหารใต้บังคับบัญชาท่านพ่อข้า บัดนี้ก็อยู่ที่ชายแดนเช่นกัน”

เฉินวั่งซูแจ้งใจในฉับพลัน

บทที่ 129

ในตำหนักใหญ่มีคนอยู่เต็มแล้ว ฮ่องเต้อยู่ในฉลองพระองค์มังกร ดูกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ

เขาหันมาเห็นเหยียนเจวี๋ยท่ามกลางฝูงชนได้ในแวบเดียว ก่อนจะเอ่ยเรียกด้วยความยินดี “เจวี๋ยเอ๋อร์ ข้าได้ยินว่านิมิตมงคลนี้เป็นเจ้าหาพบหรือ”

เหยียนเจวี๋ยส่ายหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น “เกรงว่าข่าวคงจะผิดพลาดพ่ะย่ะค่ะ เป็นหมู่บ้านของคหบดีต่งปรากฏนิมิตมงคล ขณะที่ข้าไปดูหัวหน้าสำนักซ่งแห่งสำนักดาราศาสตร์หลวงก็ได้อยู่ที่นั่นแล้ว”

ไม่เพียงฮ่องเต้ แต่บรรดาขุนนางใหญ่โดยรอบก็ล้วนเริ่มพินิจมองเหยียนเจวี๋ยด้วยความแปลกใจ

หากเป็นเมื่อก่อนคุณชายเหยียนผู้นี้ต้องรีบโกยความดีความชอบใส่ตัว เช่นว่า ‘แม่ไก่ในวังนี้ออกไข่ นั่นเป็นเพราะความดีความชอบจากบารมีของข้าคุณชายเหยียนปกคลุมอย่างไรเล่า’

หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องคุยโวว่า ‘ถ้าเป็นข้าเหยียนเจวี๋ยค้นพบจะต้องสร้างแท่นทองล้อมรอบบริเวณสิบหลี่นั้นไว้ แล้วนำพลั่วหยกขุดมาให้ฝ่าบาทได้ทรงประจักษ์ต่อการกำเนิดของนิมิตมงคลด้วยพระเนตรพระองค์เองอย่างแน่นอน!’

เหยียนเจวี๋ยยังไม่ทันพูดอะไร ในสมองพวกเขาก็คล้ายว่ามีเสียงดังเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว

เป็นน้ำเสียงไม่เอาไหนสามส่วน อวดดีห้าส่วน เป็นกิริยาท่าทางไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอันมีอยู่เพียงในตัวทายาทรุ่นที่สอง

ทว่ายามนี้ลูกผู้สูงศักดิ์อย่างเหยียนเจวี๋ยถึงกับยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเหมือนคนปกติแล้ว

คุณชายเหยียน เจ้าช่วยกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้หรือไม่ ท่าทางเป็นงานเป็นการของเจ้าน่าสยองยิ่งนัก!

ทุกคนรู้สึกอยู่ตลอดว่าเหมือนเขาต้องการซ่อนกระบวนท่าใหญ่ไว้ จากนั้นก็จะแกล้งให้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักต้องหมอบราบคาบ

ฮ่องเต้มองไปที่เหยียนเจวี๋ย อารมณ์ค่อนข้างซับซ้อน เรื่องยั่วโทสะคนทั้งหลายพรรค์นั้นตอนยังเล็กเหยียนเจวี๋ยใช่จะไม่เคยทำ ยามนั้นเหยียนเจวี๋ยยังอยู่ในวัง เหล่าขุนนางที่มาเข้าประชุมเช้ายังท้องพระโรงจะกินอาหารเช้ากันในวัง

แม้ว่าอาหารเช้านั้นจะน้อยนิด เทียบกับปริมาณหลายหลากที่พวกเขากินในที่ทำงานไม่ติด แต่ก็เป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้

ทว่าบัดนี้ไม่มีใครพูดถึงอาหารเช้านี้มาหลายปีแล้ว เนื่องมาจากในตอนโน้นไม่รู้เหยียนเจวี๋ยใส่อะไรลงไปในหม้อโจ๊ก ทำเอาขุนนางทั้งราชสำนักล้มป่วยมาประชุมไม่ได้ถึงสามวันเต็มๆ

แม้จะเป็นเรื่องใหญ่ปานนี้ฮ่องเต้ก็ยังปล่อยผ่านไปง่ายๆ ตามใจจนคนที่เกะกะระรานอยู่เป็นทุนเดิมผู้นี้ยิ่งกำเริบเสิบสานหนักกว่าเก่า

ยังดีที่ฟ้ามีตา เด็กผู้นี้พอโตขึ้นก็เป็นพวกบ้าตัณหา ไปหมกมุ่นอยู่แต่กับพวกนางระบำ อีกทั้งพวกนกพวกจิ้งหรีด แม้แต่ประตูใหญ่ท้องพระโรงตั้งอยู่ทางใดก็ลืมไปสิ้นแล้ว

ทว่าเงามืดที่เหยียนเจวี๋ยทิ้งไว้ให้ในตอนนั้นก็ยังคงทำให้คนเสียวสันหลัง สองขาอ่อนยวบ

“เป็นเช่นนี้นี่เอง! อา นี่เป็นมังกร! ท่านใดคือคหบดีต่ง ออกมาคุยกับเราที”

ระหว่างที่สนทนานิมิตมงคลนั้นก็ถูกคนหามเข้ามาแล้ว บนรากไม้รูปมังกรยักษ์ที่มีสีเขียวทั้งรากเป็นมันขลับถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีแดง ดูเหมือนเป็นชุดที่แม่สื่อสวม ดูบาดตาอย่างยิ่ง

ชายอ้วนตัวขาวที่ก่อนหน้านี้ยังกระโดดโลดเต้นอย่างชื่นมื่นยามนี้ตัวสั่นงันงก เหงื่อออกท่วมตัว เขาอ้าปากพะงาบ ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวก็ตาเหลือก ตื่นเต้นจนลมจับไปแล้ว

ฮ่องเต้รู้สึกอึ้งงันอยู่บ้าง คนทั้งหลายในท้องพระโรงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไทเฮามองเห็นภาพนี้ก็หลุดขำออกมา “เป็นคนขี้ขลาดไปเสียได้ หากข้ามองมิผิด นี่เป็นรากของต้นไหวแก่ รูปร่างหน้าตาเหมือนกับมังกรมิมีผิด! ส่วนบนของรากนี้ถึงกับมีใบเขียวงอกออกมาแล้ว”

ไทเฮาให้ข้อสรุปต่อนิมิตมงคลนี้แล้ว คนทั้งหลายจึงสบายใจขึ้นทันที

หัวหน้าสำนักซ่งที่คุ้มกันนิมิตมงคลมาส่งให้รู้สึกโล่งอก ยิ้มพลางกราบทูลตอบว่า “ไทเฮามีสายพระเนตรแหลมคม นี่เป็นต้นไหวแก่อายุเป็นร้อยๆ ปี เมื่อปีกลายไม่รู้อย่างไรจู่ๆ ก็เฉาตายไป วันนี้ในหมู่บ้านของสกุลต่งไถดินกัน กลับค้นพบว่าต้นไหวแก่นี้กลายมามีรูปร่างเช่นมังกร ซ้ำยังกลับมามีชีวิต นี่เป็นลางมงคล บ่งบอกว่าความรุ่งเรืองจะมาเยือนอีกครั้ง กระหม่อมขอแสดงความยินดีแด่ฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

มีหัวหน้าสำนักซ่งเป็นผู้นำ คนทั้งหมดในท้องพระโรงจึงล้วนเปล่งเสียงขึ้นตาม

เฉินวั่งซูก้มหน้า อ้าปากพะงาบตามน้ำไปกับคนทั้งหลาย และเริ่มมองดูสีหน้าของคนทั้งหลายอย่างมีความสุข

ไทเฮาแก่แล้ว สายตาฝ้าฟาง ทั้งยังนั่งอย่างทึกทักเอาเองว่าเป็นการสำรวมอยู่ไกลถึงเพียงนั้น จะมองเห็นเพียงมังกรเขียวก็ไม่น่าแปลกใจ ทว่าฝ่าบาทกับอัครมหาเสนาบดีเกาที่อยู่ใกล้กลับมีสีหน้ามากมายหลายหลาก โดยเฉพาะองค์ชายสามที่ก่อนหน้านี้มีเรื่องหนักใจหลายเรื่อง แล้วยังมาเห็นเจ้าสิ่งนี้อีก

จิ๊ๆ เป็นดั่งดอกผูกงอิงที่ยุ่งเหยิงท่ามกลางสายลม* จะถูกผู้คนเป่าจนปลิวแล้วเลยทีเดียว

เมื่อไปดูใกล้ๆ ก็ชัดเจนมิมีใดเกิน มังกรเหลืองตัวน้อยที่เกาะอยู่บนหลังมังกรเขียวนั้นแม้จะแห้งเหี่ยวแล้ว แต่ยังคงกัดตรงจุดตายของมังกรเขียวไว้ไม่ปล่อย เมื่อพิจารณารวมกับเวลาก็พบว่าเรื่องนี้มีนัยอะไรอยู่

ขอเพียงเป็นผู้ทราบเบื้องลึกเบื้องหลัง ร้อยทั้งร้อยสามารถคิดเชื่อมโยงได้ทั้งนั้น

ฮ่องเต้ถึงกับคิ้วกระตุก

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “นั่นคืออะไร ไฉนรากต้นไหวยังออกดอกด้วย”

เฉินวั่งซูมองหาไปตามเสียง ผู้ที่พูดเป็นสตรีอายุราวยี่สิบปีนางหนึ่ง สวมกระโปรงยาวสีชมพูดอกไห่ถังปักลายทอง บนศีรษะประดับกระโถนทอง…

แค่กๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ ‘กระโถน’ แต่เป็นเกี้ยวทองที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกระโถนปัสสาวะอย่างมาก

เฉินวั่งซูมองดูอยู่ชั่วครู่หนึ่งด้วยสายตาเหยียดหยาม พระสนมที่มีรสนิยมพรรค์นี้ยังเป็นที่โปรดปรานได้ แคว้นต้าเฉินไม่ล่มจม แคว้นใดจะล่มจมเล่า

หัวหน้าสำนักซ่งเหลือบมองดอกไม้น้อยนั้นแวบหนึ่ง เชิดคางขึ้นด้วยท่าทางภูมิใจ ก่อนจะเริ่มร่ายบทสอพลอที่เตรียมมาไว้นานแล้ว “ฝ่าบาท สาเหตุที่นิมิตมงคลเป็นนิมิตมงคลนั้นไม่ใช่เพียงเพราะเผ่าพันธุ์มังกรกลับมารุ่งเรือง แต่ยังมีสวรรค์ส่งผู้มีความสามารถมาช่วยเหลือ! ดังคำกล่าวที่ว่าฮ่องเต้ผู้ปรีชาย่อมมีขุนนางผู้ปราดเปรื่อง รากของต้นไหวนี้ตามปกติจะมีใบงอก จะมีดอกออกได้เช่นไร บัดนี้บุปผาน้อยนี้ซ่อนตัวอยู่กลางมังกรเขียวคล้ายว่าคอยให้การปกป้อง ความหมายคือยอมรับผู้เป็นนาย หกดอกอยู่เคียงกัน รูปร่างประดุจจันทร์ครึ่งดวง กระหม่อมเปิดอ่านตำรา มั่นใจว่านี่ก็คือกลุ่มดาวเหวินชาง* ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ จะทรงหาผู้มีความสามารถมาได้แล้ว!”

คนในตำหนักต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินข่าวเรื่องมังกรเขียวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องดอกไม้นี้

หัวหน้าสำนักซ่งอายุไม่น้อยแล้ว แม้จะชอบประจบสอพลอ แต่เป็นหัวหน้าสำนักดาราศาสตร์หลวงมาหลายปี กับแค่ดาวเหวินชางคงไม่ถึงขนาดดูผิด

ขอเพียงเป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาเล่าเรียนย่อมจะมีความรู้ด้านศาสตร์การเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้าอยู่บ้าง ถึงหัวหน้าสำนักซ่งต้องการหลอกคนก็หลอกไม่ได้

คนไม่น้อยคิดแล้วก็ก้าวเท้าไปมุงดู ‘นิมิตมงคล’ นั่นใกล้ขึ้น

เฉินวั่งซูมองชายอ้วนตัวขาวแซ่ต่งที่ยังนอนนิ่งไม่ฟื้นอยู่บนพื้น รู้สึกเจ็บแทนเขาเสียจริงๆ

บัณฑิตแห่งแคว้นต้าเฉินนี้จุดตะเกียงอ่านหนังสือกันจนมีไม่น้อยที่มีอาการตาลาย ซ้ำยังมีพวกที่ไม่รู้จักกาลเทศะก็ดันอายุสั้นไปก่อนด้วย

ดีไม่ดีจวบจนเกษียณกลับบ้านเดิมแล้ว แม้จะประชุมในท้องพระโรงตอนเช้ามาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยมองเห็นชัดเลยว่าฮ่องเต้มีหน้าตาเป็นอย่างไร เช่นนี้แก่ตัวไปแล้วควรเอาไปคุยอวดอย่างไร บอกว่าตอนข้าหนุ่มๆ เคยเห็นฮ่องเต้ เขามีหน้าตาประดุจเทพเซียนหรือ

นั่นเป็นเทพเซียนอะไร เป็นขุนพลแหวกม่าน** จูปาเจี้ย หรือว่าเป็นฉีเทียนต้าเซิ่ง*** ซุนอู้คง

หรือจะพูดว่า ‘ขอโทษที มองไม่ชัด’

คนตาบอดทั้งโขยงรุมล้อมนิมิตมงคล เหยียบถูกชายอ้วนตัวขาวแซ่ต่งเป็นระยะ ชายอ้วนตัวขาวผู้นั้นไม่เหมือนว่าตกใจหมดสติไป แต่เหมือนหมีจำศีลมากกว่า ถึงกับไร้การรับรู้ นอนแน่นิ่งไม่แม้แต่จะไหวติง

เฉินวั่งซูคิดแล้วก็เขย่งเท้ามองไปที่ดอกไม้นั้น…เหมือนดอกไม้ของแท้จริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเหยียนเจวี๋ยปลอมออกมาได้อย่างไร สิ่งนี้ถึงกับคล้ายว่างอกออกมาจากรากต้นไหวแก่จริงๆ ก็มิปาน

ปราศจากร่องรอยตัดแต่งไม่ต่างจากมังกรที่ว่านี้ เป็น ‘นิมิตมงคล’ อย่างแท้จริง!

ทว่าคนผู้นี้เปลืองแรงไปหมดแล้วยังจะโยงไปถึงเรื่องดาวเหวินชางอีกด้วยเหตุใด…

ในฉับพลันนั้นเองสมองเฉินวั่งซูพลันมีแสงสว่างวาบ เข้าใจแผนการของเหยียนเจวี๋ยในทันที

ทว่าน้องชาย เด็กไม่ตั้งใจเรียนอย่างท่านจะประเมินตนเองสูงเกินไปแล้วหรือไม่!

เรียนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแล้ว ก็คิดว่าตนเองจะได้รางวัลอันดับหนึ่งในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกแล้วหรือ!

ในเวลานี้เองก็พลันมีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากในกลุ่มคนและเปล่งเสียงดังว่า “ขอแสดงความยินดีแด่ฝ่าบาท นี่เป็นบุญของแคว้นต้าเฉิน! กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลขอให้ฝ่าบาททรงจัดสอบเคอจวี่รอบพิเศษเพื่อเฟ้นหาดาวเหวินชางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: