บทที่ 13
ฮู่กั๋วกงฮูหยินที่เป็นเจ้าภาพลุกขึ้นแล้ว ในสวนจึงมีสายตาไม่รู้กี่คู่ที่เอียงกระเท่เร่ คอยเหลือบมองทุกความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ รัศมีความสอดรู้สอดเห็นแทบจะล้นออกมาจากในนั้น
ทว่าแต่ละคนก็ยังแสร้งทำเหมือนหูหนวกตาบอด
เฉินวั่งซูคิดอย่างสะท้อนในใจ ‘ระบบ คนซื่อแบบฉันมีไม่มากเลยจริงๆ ไม่ใช่แค่ซื่อ ยังรวมถึงจิตใจดีด้วย พระโพธิสัตว์กวนอินยังดีได้ไม่เท่าฉันที่ใครต้องการอะไรก็ได้ตามคำขอทุกประการเลย’
ระบบมิได้ส่งเสียง มันรู้สึกว่าตนเองอาจจะถูกใช้งานมากไปแล้ว การทำงานชักไม่เสถียรแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่เกิดอาการว่าโฮสต์คนนี้พูดมาสิบคำ มันจนปัญญาจะตอบโต้ไปถึงเก้าคำ ไม่รู้ว่าควรรับส่งคำพูดอย่างไรดี
ดอกซิ่งสองข้างทางกำลังบานสะพรั่ง ฮู่กั๋วกงฮูหยินมองเห็นเฉินวั่งซูมาแล้วก็หยุดฝีเท้าเพื่อรอนาง
ถึงจะไม่มองเฉินวั่งซูก็รู้สึกได้ว่าฮูหยินกลุ่มนี้ล้วนลอบจ้องมองตนด้วยสายตาร้อนแรง
นางมุ่นคิ้วน้อยๆ เก็บรอยยิ้มลง เพียงยืดตัวตรงขึ้นเล็กน้อย นำประโยคที่ว่า ‘แม้จะรู้ว่าข้าเดินหน้าอีกก้าวเดียวก็จะตกหลุมพรางขายขี้หน้าแล้ว แต่ข้าก็ไม่หวั่น ข้าเกิดในตระกูลที่มีชื่อ’ มาสลักไว้บนหน้า
มีคนไม่น้อยเห็นแล้วก็ลอบเก็บสายตากลับไป รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมา
คนทั้งกลุ่มเท้าประหนึ่งติดปีก ไม่ถึงครู่เดียวก็มาถึงหอเหวินเซียง
เรื่องเกิดแค่พริบตาเดียว ที่นี่กลับต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างมาก
ประตูห้องเปิดอ้า เสียงร่ำไห้และเสียงด่าทอของสตรีดังมาแว่วๆ “พี่เยี่ยเฉิน ท่านเห็นข้าเกามู่เฉิงเป็นผู้ใดกัน แม้ข้าจะชื่นชมท่าน แต่ข้าหาใช่พวกที่เกิดในตระกูลเล็กๆ เช่นนั้นไม่ จะทำเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน ฝ่าบาทตรัสแล้วไม่คืนคำ ทรงเลือกน้องหญิงสกุลเฉินให้ท่าน ข้าย่อมเสียใจ แต่ข้าเองก็เคยพบน้องหญิงสกุลเฉิน นางเรียบร้อยเป็นกุลสตรี คู่ควรกับท่าน พวกเราเติบใหญ่มาด้วยกัน แม้จะน่าเสียดาย แต่ข้าคิดว่าที่สุดแล้วก็เพราะไร้วาสนาต่อกัน…”
“ข้า…ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้…”
เสียงของนางดังมากจนคนนอกห้องล้วนได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง
ทีนี้คนทั้งหมดก็ต่างมองมาที่เฉินวั่งซูอย่างอดไม่อยู่
ยังมีอะไรไม่กระจ่างอีก นี่ก็คือเกิดเรื่องฉาวโฉ่ที่คนชอบดูชอบฟังที่สุดขึ้นในงานเลี้ยงแล้วตามคาดนั่นเอง
เฉินวั่งซูสูดหายใจลึกคำรบหนึ่ง เวลาทดสอบทักษะการแสดงมาถึงแล้ว นางกะพริบตาทีเดียวเบ้าตาก็แดงขึ้นมาทันที น้ำตาคลอหน่วย แต่กลับมิได้หยดออกมา ร่างโงนเงนน้อยๆ บนหน้าปรากฏแววสับสนลนลาน แต่เพียงไม่นานก็ระงับไว้ได้
“ขอฮู่กั๋วกงฮูหยินช่วยตัดสินด้วยเจ้าค่ะ…” นางกล่าวพลางทำความเคารพผู้เป็นเจ้าบ้าน
ฮู่กั๋วกงฮูหยินมุ่นคิ้ว “เรื่องนี้ข้าช่วยตัดสินมิได้ ทางนั้นเป็นถึงองค์ชายเจ็ด…”
นางยังพูดไม่ทันขาดคำ เฉินวั่งซูก็กล่าวเสียงดังฟังชัดขึ้นตัดบทเสียก่อน “ยังคงขอให้ฮู่กั๋วกงฮูหยินช่วยตัดสินด้วยเจ้าค่ะ เรื่องในวันนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป เพื่อที่องค์ชายเจ็ดจะได้มิขายพระพักตร์ และชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของราชวงศ์จะมิต้องเสื่อมเสีย”
นางพูดต่อพลางกุมหน้าอก “ส่วนคุณหนูเกา…เรื่องขององค์ชายเจ็ด ฝ่าบาทย่อมจะมีพระราชวินิจฉัยเอง”
ฮู่กั๋วกงฮูหยินโล่งใจ มองเฉินวั่งซูปราดหนึ่งด้วยสีหน้าพิกล
นางย่อมจะคิดเช่นนี้เช่นกัน แต่ก็เกรงว่าคู่หมั้นคนนี้ขององค์ชายเจ็ดจะระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้วอาละวาดขึ้นมา เช่นนั้นคงปั้นหน้ายากแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวขุนนางเล็กๆ ก็พอจะจัดการถูไถไปได้ ทว่าบุตรสาวสายตรงของสกุลเกาเกิดเรื่องขึ้นที่จวนฮู่กั๋วกงของพวกนาง นางที่เป็นเจ้าบ้านก็ต้องรับผิดชอบ
“ปิดปากให้สนิท” เกาฮูหยินมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่งก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินตรงเข้าห้อง
เฉินวั่งซูถอนหายใจเบาๆ แม้เสียงนั้นจะเบา แต่กลับดังเข้าหูคนทั้งหมดได้พอดิบพอดี
นางยังคงยืดหลัง คอตั้งตรง เดินตามเกาฮูหยินเข้าห้องไปโดยที่จับมือของเฉียนฝูหรงผู้เป็นอาสะใภ้สามไว้แน่น