บทที่ 14
เจียงเยี่ยเฉินอ้าปาก อยากบอกว่าเขาไม่ได้ดื่มสุราจนเมา แต่เวลานั้นเขาคิดจะมาพบหลิ่วอิง จึงได้อ้างไปว่าจะออกมาพักให้สร่างเมาจริงๆ
เขาอยากพูดเหลือเกินว่าฮู่กั๋วกงออกรบจนร่ำรวย จวนนี้มั่งคั่งเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลินอันแล้ว กระดาษกรุหน้าต่างจะเป็นรูไปทั่วได้อย่างไร
ทว่าเขาก็หาหลักฐานใดๆ ออกมาพิสูจน์ว่ามีคนใช้ควันยาสลบทำให้เขาหมดสติไปไม่ได้จริงๆ
เฉินวั่งซูมองดูพลางเผยอปากน้อยๆ กล่าวอย่างกินปูนร้อนท้องอยู่บ้างว่า “องค์ชายทรงเป็นบุรุษที่ดีผู้หนึ่ง บางทีเรื่องนี้อาจจะมีเลศนัยซ่อนเร้นอยู่”
เจียงเยี่ยเฉินทั้งประหลาดใจทั้งตื่นเต้น ประหนึ่งเป็นคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้ไว้ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะก้าวเท้าไปหาเฉินวั่งซูก้าวหนึ่ง
สาม สอง หนึ่ง ตอนนี้นี่ล่ะ!
เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้นใต้เตียง เกามู่เฉิงที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกทำเอาตกใจจนสะดุ้งโหยง ส่งเสียงร้องอุทานออกมา “กรี๊ด! อะไรน่ะ!”
นางหดตัวไปด้านหลังในฉับพลัน ชนแจกันกระเบื้องเคลือบที่อยู่ใกล้ๆ ล้มแตกกระจายเต็มพื้น กลีบดอกไม้และน้ำไหลออกมาเลอะเทอะไปทั่ว
เจียงเยี่ยเฉินรู้สึกถึงมือที่เท้าเหยียบอยู่ก็รีบชักเท้าออก ที่ใต้เตียงนั้นมีสตรีผมกระเซิงนางหนึ่งคลานออกมาพร้อมเสียงครางด้วยความเจ็บปวด
“อาอิง เจ้าไปอยู่ใต้เตียงได้อย่างไร” เจียงเยี่ยเฉินพูดพลางรีบประคองหลิ่วอิงให้ลุกขึ้น
หลิ่วอิงสะบัดศีรษะ มองรอบๆ ด้วยความงวยงง ก่อนจะอึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าแจ่มใสได้สติขึ้นมาในทันที
นางกัดริมฝีปาก ในดวงตามีหยาดน้ำตาคลอ “หม่อมฉันเองก็มิทราบว่าเป็นเรื่องอะไร ท่านแม่หม่อมฉันไม่สบาย ขาดโสมแก่ทำกระสายยา หม่อมฉันรู้จักคนเพียงไม่กี่คนในเมืองหลินอันนี้ จนปัญญาแล้วจริงๆ ถึงได้วานให้คนทูลเชิญองค์ชายให้เสด็จมาพบ…คิดว่าสมัยก่อนท่านแม่ข้าเคยถวายการสอนปักผ้าแด่องค์หญิงอวี้ผิง จึงหวังว่าองค์ชายจะทรงเห็นแก่ที่เคยรู้จักกัน…เรื่องราวต่อจากนั้นหม่อมฉันก็มิทราบเช่นกันว่าเป็นเรื่องอะไร หม่อมฉันพูดได้ไม่กี่คำก็สลบไปแล้ว…ครั้นฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มีสภาพเช่นนี้แล้วเพคะ”
เจียงเยี่ยเฉินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ทว่าเพียงไม่นานก็สงบลง “เป็นตามที่อาอิง…” เขาพูดพลางมองไปยังเกามู่เฉิง “เป็นตามที่อาอิงพูด พวกข้าคุยกันได้ไม่กี่คำดีก็สลบไปแล้ว ต้องเป็นเพราะมีใครใช้ควันยาสลบกับพวกข้าเพื่อจัดฉากนี้ใส่ร้ายคนอย่างแน่นอน”
เกาฮูหยินได้ยินก็หัวเราะเสียงเย็น “ใช้ควันยาสลบ? แล้วควันยาสลบนั่นอยู่ที่ใดเพคะ แล้วในเมื่อคุณหนูหลิ่วรู้จักมักคุ้นกับองค์หญิงอวี้ผิง ไฉนจึงไม่ไปขอยาที่จวนองค์หญิงเล่า องค์หญิงอวี้ผิงทรงเลื่องพระนามด้านความมีเมตตาการุณย์ หากหม่อมฉันจำมิผิด ปีก่อนองค์หญิงเพิ่งจะอภิเษกสมรสออกไป ป้ายจวนราชบุตรเขยออกจะโดดเด่นจนคนทั้งเมืองล้วนมองเห็น แต่ไฉนคุณหนูหลิ่วกลับมองไม่เห็นเล่า”
นางพูดพลางสะบัดแขนเสื้อ “เบื้องหลังของเรื่องนี้ข้าก็มิอยากฟังให้ระคายหูเช่นกัน พวกท่านจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่มู่เฉิงของข้าเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ ข้าที่เป็นแม่จะต้องทวงความยุติธรรมให้นางให้ได้!”
หลิ่วอิงเบิกตาโพลง เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าเกาฮูหยินจะกำเริบเสิบสานวางอำนาจบาตรใหญ่ปานนี้ แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะหยุดยั้งนาง
เฉินวั่งซูมองหลิ่วอิงปราดหนึ่ง ไม่เสียแรงที่เป็นนางเอก ตอบสนองได้รวดเร็วดีแท้ ซ้ำยังไม่ล้มง่ายๆ ด้วย
ทว่าเกาฮูหยินก็ไม่เห็นองค์ชายเจ็ดอยู่ในสายตาจริงๆ นั่นล่ะ บัดนี้อัครมหาเสนาบดีเกากุมอำนาจของสามกองงานฮ่องเต้เชื่อฟังคำพูดของเขาทุกประการ นับเป็นขุนนางผู้ทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งแคว้นต้าเฉิน
มีคำกล่าวว่าสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าเฉินอยู่ใต้ฮ่องเต้ แต่อยู่เหนือคนทั้งปวง สองผู้ยิ่งใหญ่นี้ฝ่ายบุ๋นหมายถึงอัครมหาเสนาบดีเกา ฝ่ายบู๊หมายถึงฮู่กั๋วกง สกุลเกามีพระสนมชายาตำแหน่งสูงอยู่ในวังถึงสองคน ให้กำเนิดองค์ชายสองพระองค์ มีหน้ามีตาไม่เป็นสองรองใครเลยทีเดียว
เกาฮูหยินไม่กำเริบเสิบสานจะให้ใครกำเริบเสิบสาน เกาฮูหยินไม่วางอำนาจบาตรใหญ่จะให้ใครวางอำนาจบาตรใหญ่
เฉินวั่งซูคิดว่าหากตนเป็นเกาฮูหยิน วันนี้คงตบใบหน้าน้อยๆ ขององค์ชายเจ็ดไปนานแล้ว!
เกาฮูหยินพูดพลางมองไปยังเกามู่เฉิงอย่างรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ “ยังมัวอยู่ตรงนี้ทำกระไร กลับไปกับแม่เสีย ตราบใดที่มีแม่อยู่ ตราบนั้นก็ไม่มีใครรังแกเจ้าได้”
เกามู่เฉิงมององค์ชายเจ็ดด้วยดวงตาแดงเรื่อแวบหนึ่ง ก่อนกระทืบเท้าวิ่งตามฝีเท้าเกาฮูหยินออกไป
ในห้องเงียบกริบลงอีกครั้ง