ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 130-132
บทที่ 130
เฉินวั่งซูกุมหน้าผาก เป็นจริงตามคาด…เหยียนเจวี๋ยทำเรื่องอ้อมไปตั้งไกลก็เพื่อรอสิ่งนี้!
ที่กล่าวว่า ‘กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่’ พูดปากเปล่าไปย่อมไม่มีประโยชน์ เหยียนเจวี๋ยต้องการยืนหยัดในแคว้นต้าเฉินให้ได้ เช่นนั้นการเป็นขุนนางก็เป็นเส้นทางที่ต้องเดิน
ทว่าตลอดมาฮ่องเต้เพียงให้ความโปรดปรานตามใจแต่ผิวเผิน ไม่เคยมอบหมายงานใดให้เหยียนเจวี๋ย แม้แต่คราวนี้ในราชสำนักมีคนเสนอให้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์และมอบหมายงานแก่องค์ชายทั้งหลายเป็นการฝึกประสบการณ์ องค์ชายแปดจะได้ไม่เอาแต่ชนไก่แข่งสุนัขในเมืองจนหาความสงบไม่ได้อยู่ทุกวี่วัน…ก็เป็นเช่นนี้นี่ล่ะ ฮ่องเต้ที่ปากพร่ำบอกว่าเหยียนเจวี๋ยเป็นเสมือนบุตรชายแท้ๆ ของเขา แต่ยังคงไม่ได้นับเหยียนเจวี๋ยเข้าไปอยู่ในแผนด้วยอยู่ดี
มิเช่นนั้นหัวหน้าทหารยามที่ยืนอยู่หน้าประตูวังจะเอ่ยปากเตือนเขาด้วยความหวังดีว่าให้พยายามอาศัยอานิสงส์จากลมหนุนหอบนี้ด้วยได้อย่างไร
ยังไม่พูดถึงว่าจะอาศัยได้หรือไม่ ต่อให้อาศัยได้ นั่นก็คงเป็นเหมือนซุนอู้คงรับตำแหน่งปี้หม่าเวิน มอบตำแหน่งลอยๆ ที่ไม่สลักสำคัญให้เขาได้ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างมีหน้ามีตา
หรืออย่างแย่ที่สุดอาจจะถูกบอกว่า ‘เจ้าเลิศเลอเกินไป รับตำแหน่งใหญ่แล้วก็ต้องถูกคนแทงข้างหลังไปชั่วชีวิต ว่าไปแล้วก็เป็นแค่สุสานบรรพบุรุษผุดควันเขียว เป็นผู้ได้รับความเมตตาจากบรรพบุรุษเพียงเท่านั้นเอง’
เหยียนเจวี๋ยรักษาชีวิตรอดในแคว้นต้าเฉิน เช่นนั้นยันต์คุ้มกายแรกก็คือตำแหน่งจิ้นซื่อ
นับตั้งแต่สถาปนาแคว้นต้าเฉินขึ้นมาก็แทบไม่เคยฆ่าจิ้นซื่อเลย หากเขาเป็นอาจ…
สามปีสอบหนึ่งหน ปีนี้เฉินฉางเยี่ยนพี่ชายของเฉินวั่งซูเพิ่งจะสอบไป หากเหยียนเจวี๋ยต้องการสอบก็ยังต้องรอก่อน แต่ถ้าเปิดสอบเคอจวี่รอบพิเศษ เช่นนั้นก็ต่างออกไปแล้ว…
บัญชีนี้เฉินวั่งซูเชื่อว่า ‘ท่านประธานบริษัทเหยียนเจวี๋ย’ คิดได้ชัดเจนทุกบรรทัด แม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่ยอมขาดทุน
แต่เกรงว่าเขาคงจะลืมความน่ากลัวของการถูกท่านพ่อตาจัดการไปแล้ว?
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ลอบมองเหยียนเจวี๋ยแวบหนึ่ง เขาเม้มปาก ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางประหนึ่งว่าเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาก็มิปาน
พอรู้สึกได้ถึงสายตาของเฉินวั่งซูเหยียนเจวี๋ยก็หันหน้ามายิ้มให้นาง
ครั้นคำเสนอแนะของคนผู้นั้นถูกกล่าวออกมา ในตำหนักใหญ่ก็มีเสียงคล้อยตามดังเซ็งแซ่
ฮ่องเต้มององค์ชายสามผ่านๆ ปราดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะดังลั่น “การรับผู้มีความสามารถมาทำงานเป็นเรื่องน่ายินดีของแว่นแคว้น เราอนุญาต!”
เขากล่าวแล้วมองมหาบัณฑิตแซ่โต้วผู้หนึ่ง “มหาบัณฑิตโต้วเข้มงวดที่สุด ได้ยินข่าวว่าปกติลูกศิษย์สิบคนมีเก้าคนถูกท่านดุจนร้องไห้ เนื่องจากบนระเบียนเขียนผิดหลายคำ อีกทั้งเขียนได้ไม่ลื่นไหล ทว่าศิษย์เก้าคนนี้ของเขาดันล้วนเป็นเสาหลักของราชสำนักทุกคน เรื่องการสอบพิเศษในปีนี้ก็มอบให้มหาบัณฑิตโต้วแล้ว จะต้องเลือกดาวเหวินชางออกมาให้เราอย่างเข้มงวดกวดขันให้ได้!”
มหาบัณฑิตโต้วก้าวออกมาประสานมือคำนับ “พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ฝ่าบาท เรื่องเวลาการจัดสอบพิเศษนี้ยังต้องหารือกันอีก บัดนี้ล่วงเข้าเดือนเก้าแล้ว กว่าข่าวจะแพร่ออกไป บัณฑิตเหล่านั้นต่อให้เร่งเดินทางมาสอบยังเมืองหลินอันก็เกรงว่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อย”
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างลวกๆ “ท่านร่างระเบียบการมาแล้วกัน”
มหาบัณฑิตโต้วอ้าปาก คล้ายว่าอยากกล่าวอะไร แต่สุดท้ายก็ส่ายศีรษะเบาๆ แล้วถอยหลังกลับไป
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็มองมหาบัณฑิตโต้วอีกปราดหนึ่ง นางจดจำไว้ในใจแล้ว
ฮ่องเต้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีอย่างเห็นได้ชัด “ขุนนางรักทั้งหลาย วันนี้สวรรค์ประทานโชคดีมาให้ทั้งที วันพรุ่งนี้เราจะจัดงานเลี้ยงในวัง ร่วมเฉลิมฉลองงานใหญ่ด้วยกันกับขุนนางรักทั้งหลาย”
ในตำหนักใหญ่มีเสียงอวยพรดังกึกก้อง
เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยสบตากัน ในใจมีแต่ความเหยียดหยาม ฮ่องเต้กระหายเพียงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มิผิดจากที่คาด เขาให้ความสำคัญกับนิมิตมงคลในครั้งนี้เสียปานนี้ ต่อจากนี้ก็แทบจะคาดการณ์ถึงสภาพนิมิตมงคลผุดเป็นดอกเห็ดในที่ต่างๆ ได้เลย
ครั้นคนทั้งสองเดินออกจากประตูวังและขึ้นรถม้าแล้วก็เริ่มพูดคุยกัน
เฉินวั่งซูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “ละครฉากนี้ของท่านไม่เลวเลย คืนนี้ข้าจะพาท่านไปชมละครฉากใหญ่อีกฉาก”
เหยียนเจวี๋ยเห็นนางอารมณ์ดีก็หยิบห่อกระดาษเล็กๆ ห่อหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ “ลูกพลับตากแห้งฝีมือมามาชรานางหนึ่ง หวานมาก เจ้าลองชิมดู ละครของเจ้าไม่มีที่ไม่สนุกอยู่แล้ว”
ในใจเฉินวั่งซูสะดุดกึก นางจ้องมองเหยียนเจวี๋ยอย่างจริงจังตั้งใจ เหยียนเจวี๋ยกลับไม่ระย่อ ดูเหมือนพูดไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง
เขาว่าแล้วก็หยิบลูกพลับตากแห้งชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน
เฉินวั่งซูแววตาวูบไหว ใช้ปลายเท้าสะกิดรองเท้าหุ้มแข้งของเหยียนเจวี๋ย “หากเปิดการสอบเคอจวี่รอบพิเศษท่านมั่นใจหรือไม่”
เหยียนเจวี๋ยแย้มยิ้ม “ตอนดึกที่ยอดดวงใจหลับสนิทแล้ว ข้าลุกขึ้นมาอ่านหนังสือตลอดเชียวนะ ข้านำบทความที่เขียนไปให้พี่ภรรยาดูแล้ว เขาบอกว่าแม้จะยังขาดอะไรไปบ้าง แต่ก็ใช่จะไม่มีโอกาสเจอโชคหล่นทับ”
เฉินวั่งซูมีท่าทางเหมือนบอกว่าคิดไว้มิผิด “ใช่หรือไม่เล่า การที่พอร้องก็ทำคนตะลึง* นี้ดีก็จริงอยู่ แต่ถ้าเกิดไม่ได้ร้องกลับจะไม่ค่อยดีแล้ว หากท่านยังเตรียมตัวไม่พร้อมก็ไม่ต้องร้อนใจ พวกเราไปเผ่ามู่ซี ตามรอยแผนที่นั่นไปสืบเรื่องให้แน่ชัดกันก่อนก็ได้ ช่วงนี้ทางด้านฮู่กั๋วกงฮูหยินรวมถึงในวังล้วนปลีกตัวไม่ได้ คนที่มาลอบสังหารและเล่นงานพวกเราต่างน้อยลงแล้ว ชาติกำเนิดของมารดาท่านเกรงว่าคงจะมีความลับใหญ่หลวงแอบซ่อนอยู่ รู้เขารู้เราถึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ข้ากลับรู้สึกว่าพวกเราสามารถวางเรื่องอื่นไว้ก่อนได้ อาศัยเรื่องนี้ขององค์ชายสามทำให้ในเมืองวุ่นวาย จากนั้นก็รีบไปเผ่ามู่ซีแล้วรีบกลับมา”
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า “เผ่ามู่ซีต้องไป สอบเคอจวี่ก็ต้องสอบ หากเป็นการสอบเคอจวี่รอบฤดูใบไม้ผลิปกติข้าต้องสอบไม่ผ่านเป็นแน่ แต่ว่าการสอบเคอจวี่รอบพิเศษนั้นไม่เหมือนกัน จัดขึ้นด่วนเกินไป มีคนมากมายที่ถึงจะได้รับข่าวก็ยังเร่งรุดมาเมืองหลินอันไม่ทัน การสอบเคอจวี่มีเพียงหนเดียว ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากได้อันดับสูงกันทั้งนั้น บรรดาคนที่เพิ่งสอบตกไปในปีนี้ เพื่อความปลอดภัยก็ไม่แน่ว่าจะมาเข้าร่วม ด้วยกลัวว่าหากได้อันดับรั้งท้ายจะก้าวหน้าได้ยาก แต่ข้าไม่เหมือนกัน ผู้อื่นต้องสอบได้จ้วงหยวนถึงจะสบาย คนไม่เอาไหนอย่างข้าขอเพียงสามารถสอบได้จิ้นซื่อก็เป็นน่าตื่นตะลึงของคนทั้งหลายแล้ว อีกอย่างมหาบัณฑิตโต้วผู้คุมสอบใหญ่ผู้นั้นให้ความสำคัญกับบทวิจารณ์การปกครองที่สุด จุดนี้ข้าค่อนข้างถนัด ติดแค่ลายมือน่าเกลียดไปบ้างเท่านั้น”
เดิมทีเฉินวั่งซูอยากจะเหยียดหยามเหยียนเจวี๋ยสักยก แต่เห็นเขาดูถูกตนเองก็ไม่พอใจขึ้นมา “ท่านเป็นตัวไม่เอาไหนเสียที่ใดกัน ท่านฉลาดมากชัดๆ ในสองสามเดือนมานี้ก้าวหน้าไวจะตายไป”
เหยียนเจวี๋ยได้ยินแล้วก็หัวเราะด้วยอารามดีใจ “ที่แท้ในใจของยอดดวงใจก็เห็นข้าเป็นคนฉลาด ยอดดวงใจชอบกินแบบใดที่สุด”
เฉินวั่งซูหน้าแดง มองลูกพลับตากแห้งในมือตนเองเล็กน้อย กินบ้ากินบออะไรเล่า!
นางบอกว่าตนเองชอบกินคนงามได้หรือไม่ เมื่อก่อนคนผู้นี้เอาแต่แสร้งทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ ทั้งๆ ที่มีคำเกี้ยวพานหญิงสาวอยู่เป็นกระบุง ยังดีที่นางเป็นพวกมีประสบการณ์โชกโชนแล้ว ฟังแล้วหน้าจึงไม่แดงเด็ดขาด
“เช่นนั้นข้าก็จะรอท่านหาตราตั้งมาให้ข้าแล้ว” เฉินวั่งซูพูดแล้วก็นึกเรื่องที่ได้พบฉินเจ่าเอ๋อร์ในวันนี้ขึ้นได้ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านรู้หรือไม่ วันนี้ข้าได้เห็นฉินเจ่าเอ๋อร์กับองค์ชายแปดดูตัวกันที่หอกวนไห่ องค์ชายแปดกันแสงจนชุดเปียกปอนเลย”
เหยียนเจวี๋ยงงงันไป ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “นี่เหลวไหลสิ้นดี! คนพวกนั้นไม่รู้หรือไรว่าพระมารดาของพี่สี่ได้ไปขอให้ฝ่าบาทสู่ขอฉินเจ่าเอ๋อร์ให้เขานานแล้ว พระราชโองการก็ร่างเรียบร้อยแล้ว รอแค่หาฤกษ์ดีประกาศแก่คนทั้งหลายเท่านั้นเอง มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าวันนั้นที่พี่สี่กลับมาเมืองหลวง ในวังจัดงานเลี้ยงเหตุใดนอกจากเจ้าแล้วถึงได้เชิญบุตรสาวขุนนางใหญ่มาหลายคนกันล่ะ บิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์เองก็รู้เรื่องนานแล้วเช่นกัน”