ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 130-132
บทที่ 131
เฉินวั่งซูประหลาดใจค่อนข้างมาก น้ำเต้าเถานี้เป็นเถาที่ใจกลางเน่าดำอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นแต่ละผลจะล้วนเป็นเจ้าหนูน้ำเต้าใจดำกันทั้งหมดได้อย่างไร
ชาวแคว้นต้าเฉินนี้ล้วนแต่เป็นพวกสองหน้า มีสันดานเป็นคนคดโกงโดยแท้!
ผู้ที่ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไร้เดียงสาอย่างองค์ชายแปดผู้นั้นก็ถึงกับทำเรื่องไร้ยางอายอย่างคิดแย่งชิงตัวพี่สะใภ้ออกมาได้เช่นกัน
คราวนี้นางมองพลาดไปแล้วจริงๆ นางหลงนึกว่าองค์ชายแปดเป็นพวกใช้การไม่ได้ สกุลเกาถึงได้เลือกจะช่วยองค์ชายสามอย่างปราศจากความลังเล บัดนี้ดูจนจบแล้วกลับหาได้เป็นเช่นนั้นเสียทั้งหมดไม่ ผู้อื่นเพียงแต่เสียเปรียบที่เกิดทีหลังเท่านั้นเอง
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็แววตาวูบไหว กล่าวอย่างค่อนข้างแฝงความหมายลึกซึ้ง “มิน่าช่วงนี้บิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์ถึงได้ทำตัวสนิทสนมกับนางผิดปกติ อยากจะเป็นบิดายอดกตัญญูใจแทบขาด ทั้งยังนำเรื่องลับในราชสำนักมาวิเคราะห์แล้วเล่าให้นางฟังอีกต่างหาก ผู้ที่เดินไปมาต่อหน้าฮ่องเต้ได้แทบจะไม่มีใครที่โง่งมจริงๆ ก็นี่มีผลประโยชน์ให้หมายมาดได้มิใช่หรือ”
เฉินวั่งซูชักจะแจ้งใจแล้ว มิน่าขณะอยู่ในวังฉินเจ่าเอ๋อร์กล่าววาจาหาเรื่องมารดาเลี้ยง นางผู้นั้นก็ก้มหน้าก้มตาไม่ยอกย้อนกลับมาแม้แต่คำเดียว ที่แท้นางรู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉินเจ่าเอ๋อร์จะได้เลื่อนฐานะขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
“หากเป็นเพียงพระชายาองค์ชายแต่อย่างเดียวไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องมากเพียงนั้น เห็นทีสกุลฉินและองค์ชายสี่จะมีความมุ่งหมายใหญ่ยิ่ง”
เหยียนเจวี๋ยแย้มยิ้ม “พี่สี่เป็นคนจริงใจตรงไปตรงมา มีความสามารถของผู้นำทัพอยู่จริงๆ เป็นไม้ดีในหมู่องค์ชาย”
เฉินวั่งซูนิ่งงันไป ไม้ดีบ้าบออะไร ก็แค่ดีกว่าพวกคุณภาพเลวเท่านั้นเอง
ทว่าเฉินวั่งซูคิดดูอีกที หากองค์ชายสี่ได้เป็นฮ่องเต้ก็ดีเลย มีคนประคองนิมิตมงคลมาถวาย คนผู้นี้คงจะเท้าสะเอวถลึงตา ‘ของอะไร เอาหัวไช้เท้ามาแทนโสม กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเสียกระมัง! มังกรเขียว? มังกรเขียวอะไร นี่เจ้าเห็นเรามีประกายทองแผ่ออกมาทั่วร่างแล้วขัดหูขัดตา อยากจะเพิ่มสีเขียวให้เราให้ได้หรือไร’
ลำพังแค่จินตนาการเช่นนี้เฉินวั่งซูก็หัวเราะออกมาแล้ว
เหยียนเจวี๋ยเห็นนางไม่มีท่าทีไม่ชอบใจก็โล่งอก ยื่นมือมาขยี้ศีรษะเฉินวั่งซูเบาๆ
เฉินวั่งซูกลับมิได้หลบ นับตั้งแต่นางแต่งงานกับเหยียนเจวี๋ยแล้วค้นพบว่าเขาติดนิสัยนี้ นางก็ไม่ได้ใช้น้ำมันทาผมอีก
เขาจะได้ไม่ลูบผมภรรยาแล้วมือลื่นเวลาจับกระบี่!
คนทั้งสองกลับถึงจวนแล้ว เหยียนเจวี๋ยก็ก้าวเท้าไปยังห้องหนังสือเพื่อลับหอกยามจวนออกศึก เฉินวั่งซูหาว อุ้มแมวไฉ่อวิ๋นไปนั่งบนเก้าอี้โยก แสงแดดฤดูสารทส่องลงบนตัว ให้ความรู้สึกอบอุ่น
“เฮ้อ…”
ไป๋ฉือนั่งบนม้านั่งกลมตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง แกะเกาลัดให้เฉินวั่งซู “คุณหนูถอนหายใจด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูลูบขนบนหลังไฉ่อวิ๋น “เงียบเหงาเกินไปแล้ว อุตส่าห์มีมารดาเลี้ยงทั้งที กลับขี้ขลาดตาขาว ทำร้ายข้าครั้งหนึ่งแล้วข้าไม่ได้ตกใจ นางกลับหลบเวลาเห็นข้าเสียแล้ว ก่อนที่ข้าจะแต่งเข้ามาเหยียนเจวี๋ยถูกลอบสังหารแทบไม่เว้นแต่ละวัน ปัจจุบันข้าเข้าจวนฮู่กั๋วกงมาได้สามเดือนกว่าแล้วกลับไม่ได้เห็นแม้แต่ปลายผมของผู้ลอบสังหาร หน้าไม้เล็กนั่นจะขึ้นสนิมอยู่แล้ว แล้วไหนจะเฉินสี่หลิงกับเกามู่เฉิงอีก ข้าอุตส่าห์ล่วงเกินพระชายาองค์ชายทั้งสองไปแล้ว ถึงกับไม่รู้จักจัดงานชมบุปผาวางแผนให้ร้ายข้าสักหน่อย เป็นต้นว่าผลักข้าตกน้ำ! ใส่ความว่าข้ามีความสัมพันธ์ลับๆ กับผู้อื่น!…เฮ้อ…เงียบเหงาเกินไปแล้ว”
ไป๋ฉือมุมปากกระตุก คุณหนู หากท่านไปพูดเช่นนี้บนถนนอีกรอบ มีหวังได้ถูกตีเป็นแน่
“ไม่มีใครทำร้ายคุณหนู ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูชูกำปั้นด้วยท่าทางหดหู่ “ก็มิใช่ว่าไม่ดี เพียงแต่ข้าหมดหนทางจะได้ระบายอารมณ์แล้ว!”
เป็นสตรีเจ้าบทบาทที่เรียกลมเรียกฝนได้จนเคยชินแล้ว จู่ๆ ไม่มีใครถามถึงเฉินวั่งซูก็พูดได้เพียงว่าทรมานใจเหลือเกิน! นี่เป็นการเอาง้าวมาตัดเค้กเลยทีเดียว…ไม่มีที่ให้นางได้สำแดงความรู้ความสามารถโดยสิ้นเชิง
ไป๋ฉือหมดคำจะโต้ตอบ
นางพูดได้หรือไม่ว่าเฉินวั่งซูมิเสียแรงที่เป็นบุตรสาวของนายหญิงใหญ่ อยู่ว่างๆ หนึ่งวันทำเอาครั่นเนื้อครั่นตัว
เนื่องจากเรื่องนิมิตมงคลวันนี้ในเมืองหลินอันจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ สามารถเทียบกับเทศกาลซั่งหยวนได้เลย ตามตรอกเล็กถนนใหญ่ ตามร้านน้ำชาเพิงร้านค้ามีบรรดาสตรีชั้นสูงในเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรางดงามเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างกะทันหัน
หากเข้าไปใกล้หน่อยยังสามารถได้ยินพวกนางคุยกันถึงเรื่องมังกรเทพและงานเลี้ยงในวัง
ท่าเรือมีแสงไฟสว่างโร่ คึกคักจนไม่ต่างจากย่านการค้า
เฉินวั่งซูนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กินส้มไปคำหนึ่ง เปรี้ยวจนฟันแทบหลุด นางหรี่ตาแล้วมองไปรอบๆ ตอนแรกนางคิดว่าการค้าเกลือเถื่อนนี้ที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องไม่มีหน้ามีตา ท่าเรือน่าจะมีคนไม่พลุกพล่าน กระทำการกันลับๆ ล่อๆ กันจึงจะถูก
แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์เปลือยอกกำลังขนกระสอบ
ส้มเปรี้ยวไม่มีที่ให้ทิ้ง…
เฉินวั่งซูกำลังกลุ้มใจอยู่ก็มองเห็นมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมือมา
เหยียนเจวี๋ยรับส้มไปจากมือเฉินวั่งซูอย่างแผ่วเบา ใช้มือฉีก เพียงพริบตาเดียวก็กินหมดเกลี้ยง
‘ท่านตั้งครรภ์หรือ’ เฉินวั่งซูพูดไม่ออกเสียง
เหยียนเจวี๋ยอึ้งงันไป ก่อนส่ายหน้า “ชอบกินเปรี้ยว”
เฉินวั่งซูหัวเราะเสียงต่ำ ล้วงถั่วปากอ้าเม็ดหนึ่งออกมาจากในถุงของว่างที่ตนเองเตรียมมา ‘แน่จริงท่านลองนี่’
เหยียนเจวี๋ยยกมือปิดปาก ฟันทั้งปากเขาถูกความเปรี้ยวทำให้เหมือนไม่ใช่ของตนเองแล้ว ยังจะมาแทะถั่วปากอ้าอะไรอีก ตอนนี้แม้แต่เต้าหู้เขาก็กัดไม่ไหวแล้ว โปรดอย่าซ้ำเติม!
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ส่งถั่วปากอ้าเข้าปากตนเองอย่างสำราญใจ ก่อนจะล้วงลูกอมเม็ดหนึ่งในแขนเสื้อมายัดใส่ปากเหยียนเจวี๋ย
มาแล้วๆ เฉินวั่งซูเริ่มจะตื่นเต้นแล้ว นางกับเหยียนเจวี๋ยนั่งก็เรียบร้อย กินก็เรียบร้อยแล้ว ภาพยนตร์ยังไม่ฉายจะนับเป็นการเดตอะไร
เห็นเพียงจู่ๆ ก็มีคนแต่งกายเรียบร้อยกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวท่ามกลางคนเปลือยอกกลุ่มนั้น
คนที่เป็นผู้นำสวมเสื้อตัวสั้นคู่กางเกง ถือดาบร้อยห่วงเล่มใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนดูดุร้าย ผู้อื่นเห็นแล้วล้วนค้อมตัวร้องเรียกอย่างเคารพนบนอบ “เถ้าแก่โจว!”
เถ้าแก่โจวผู้นั้นโบกมือด้วยท่าทางรำคาญ ยกสองมือเท้าสะเอว ร้องโหวกเหวกว่า “ขนเร็วๆ หน่อย นี่เป็นข้าวชั้นดี หากหกไปแม้แต่เม็ดเดียวพวกเจ้าเดือดร้อนแน่ ข้าจะรีบออกเรือคืนนี้ พวกเจ้าทำงานกันให้ว่องไวหน่อย”
เขาพูดพลางหันตัวไปมองดูรอบๆ ครั้นเห็นแผงขายบะหมี่ที่อยู่ไม่ไกลก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วเริ่มมองไปยังทางเดินใหญ่ด้วยท่าทางกระวนกระวายทันที
เฉินวั่งซูลูบคาง สบตากับเหยียนเจวี๋ย เรื่องนี้น่าสนุกแล้ว แทบจะเหนือกว่าที่นางจินตนาการเสียอีก
เถ้าแก่โจวหยิบของที่เหมือนรากต้นหญ้ารากหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ นำมาจ่อจมูกดม จากนั้นก็ใส่ของสิ่งนั้นกลับที่เดิมด้วยท่าทางระมัดระวังยิ่ง จากนั้นถึงได้เดินมาทางต้นไม้ใหญ่ที่เฉินวั่งซูนั่งอยู่ต้นนี้
ต้นไม้นี้ค่อนข้างมีอายุ สูงใหญ่บดบังท้องฟ้า ครึ่งหนึ่งอยู่บนฝั่ง อีกครึ่งยื่นไปในน้ำ ราวเป็นคนละโลกกับบรรยากาศสว่างไสวทางด้านนั้นเลยทีเดียว นี่ที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชมภาพยนตร์ที่เฉินวั่งซูตั้งใจเลือกมาโดยเฉพาะ
มองเห็นศีรษะที่ล้านอยู่บ้างของเถ้าแก่โจวแล้ว เฉินวั่งซูก็ยัดเปลือกถั่วปากอ้าลงถุงทันควัน ถ้าเกิดเผลอทำขยะนี้หล่นใส่ศีรษะคนที่มีผมมาก อีกฝ่ายอาจจะไม่รู้สึกตัว แต่สำหรับเถ้าแก่โจวนั่นมิใช่หล่นลงบนผม แต่หล่นลงบนหนังศีรษะโดยตรง เว้นแต่เขาจะตายแล้ว มิเช่นนั้นจะต้องพบเห็นพวกนางอย่างแน่นอน
“ทางด้านนี้มีคนมากปานนี้ เรียกข้ามาทำอะไร ยอมให้เพียงครั้งนี้ครั้งเดียว ห้ามมีครั้งต่อไปอีก”
เถ้าแก่โจวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ได้ไม่ถึงครู่หนึ่งเรือเล็กลำหนึ่งก็เทียบฝั่งอย่างเงียบเชียบ แอบซ่อนอยู่ในบริเวณที่ต้นไม้ใหญ่นี้ยื่นไปในน้ำ เห็นได้ชัดว่าพวกเขานัดแนะเวลากันก่อนแล้ว เรือเล็กนั้นจึงมารออยู่บริเวณใกล้ๆ นานมากแล้ว