ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 130-132
บทที่ 132
ครั้นเฉินวั่งซูได้ยินเสียงที่คุ้นหูก็รีบมองไปทางแผงขายบะหมี่ เป็นไปตามคาด คนที่กินบะหมี่อยู่ที่นั่นก่อนหน้านี้ได้สลายตัวไปเกลี้ยงในพริบตาเดียว
ละครฉากนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
นางวางอุบายล่อให้เกาฮูหยินมาเปิดโปงการค้าเกลือเถื่อนของเถ้าแก่โจว ถัดจากนั้นก็กำจุดอ่อนของจวนองค์ชายสามไว้ ส่วนเกาฮูหยินก็ซื้อตัวเถ้าแก่โจวได้ในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวันโดยไม่มีใครระแคะระคาย
ทั้งยังวางแผนซ้อนแผน ล่อให้เฉินสี่หลิงมาเพื่อจะจับให้ได้คาหนังคาเขาตรงๆ
เฉินวั่งซูรู้สึกว่านี่ต้องเป็นเพราะเกาฮูหยินจับชู้จนเชี่ยวชาญแล้วอย่างแน่นอน!
“ท่านช่างขี้ลืมโดยแท้! ท่านมาเพื่ออะไร ตนเองมิใช่ทราบอยู่แก่ใจหรือไร”
เฉินวั่งซูฟังจนเพลิน เหยียนเจวี๋ยกลับเขย่าแขนเสื้อนาง ก่อนชี้ไปยังเรือที่กำลังลำเลียงของอยู่ลำนั้น
เฉินวั่งซูตาสว่างวาบ “ท่านจะพาข้าไปดูตรงนั้น? ไปได้หรือ”
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า กลั้นหายใจ เลาะตามลำต้นของต้นไม้ขนาดมหึมา อาศัยการบดบังจากเงาไม้พาเฉินวั่งซูไปอยู่บนเรืออย่างรวดเร็วปานเหาะ
เรือใหญ่เช่นนี้มีทั้งหมดห้าลำ ด้านบนแขวนธงการค้าสกุลโจว
เรือลำที่เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยขึ้นมานี้บรรทุกกระสอบจนเต็มแล้ว ลูกเรือจึงล้วนไปช่วยหามกระสอบขึ้นเรือลำอื่น
เหยียนเจวี๋ยมองไปรอบๆ ก่อนชักมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากในรองเท้า เลือกจุดที่ลับตาคนแล้วกรีดเบาๆ พอเขาใช้มีดสั้นงัดขึ้น เกลือสีขาวแสบตาที่ด้านในก็ปรากฏออกมา
แตกต่างจากเกลือเนื้อหยาบหรือสินแร่ที่เฉินวั่งซูคิดไว้ เกลือนี้ยังใช้กระดาษน้ำมันห่อไว้ด้วยชั้นหนึ่ง แทบจะนำมากินตรงๆ ได้แล้ว
เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว ชี้กระสอบเกลืออย่างตาแหลม
เหยียนเจวี๋ยจับมีดสั้นงัด ถึงกับได้สร้อยทองเส้นใหญ่ออกมาเส้นหนึ่ง สร้อยทองนี้มีขนาดเท่าหัวแม่มือ บนนั้นยังมีจี้หยกเลี่ยมทองสีเขียวมรกตห้อยอยู่ด้วยชิ้นหนึ่ง
นี่เป็นของดี! แม้จะกลิ่นตุๆ ไปบ้างก็ตาม!
เฉินวั่งซูไม่พูดพร่ำทำเพลง เก็บใส่ถุงของว่างของตนเองทันที จากนั้นก็ล้วงมีดสั้นสำหรับใช้ปอกผลผิงกั่ว ที่ตนเองซ่อนไว้ในถุงตั้งแต่แรกแล้วออกมากรีดกระสอบใหม่ ยื่นมือไปล้วงได้กากระเบื้องเคลือบใบน้อยออกมา
เฉินวั่งซูไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เก็บกากระเบื้องเคลือบใบน้อยลงในถุงเช่นกัน ก่อนจะหยิบมีดสั้นเขี่ยในกระสอบเกลือใบเดียวกันอีกครั้ง ได้หนังสือเล่มหนึ่งออกมานางก็ยัดใส่ถุงของตนอย่างไม่เต็มใจ
นี่มันอะไรกัน! เหตุใดเหยียนเจวี๋ยเปิดได้สร้อยทอง พอถึงตาข้ากลับกลายเป็นกาผุๆ กับหนังสือเก่าๆ ไปได้
ดวงจะต่างกันราวฟ้ากับดินไปหน่อยแล้ว
นางกำลังคิด เหยียนเจวี๋ยก็ล้วงได้กวนอินหยกอีกองค์หนึ่ง เขายัดมันใส่มือเฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูดีใจเป็นล้นพ้น หยิบมีดสั้นยังคิดจะกรีดอีก กลับถูกเหยียนเจวี๋ยรั้งไว้
เขาชี้ไปที่ริมฝั่ง มองเห็นทางด้านนั้นครึกครื้นขึ้นมาแล้ว
เกาฮูหยินที่แต่งตัวราวกับแบล็กวิโดว์ นำเกามู่เฉิงที่ดูเหมือนต้นคริสต์มาสพาคนกลุ่มหนึ่งเดินไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นด้วยท่าทางดุดัน แล้วเริ่มต่อปากต่อคำกันขึ้นมา
เฉินวั่งซูพยักหน้า เก็บมีดสั้นกลับไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
สถานที่นี้ดีตั้งเพียงไร เหมือนกับเปิดกล่องสุ่มอย่างไรอย่างนั้น…กล่องสุ่มที่เป็นเรือห้าลำเต็มๆ…อยากจะไล่กรีดมันทุกกระสอบแล้วหอบไปให้หมดเสียจริงๆ ครั้นคิดถึงว่าเถ้าแก่โจวผู้นี้ไม่รู้เดินเรือไปกลับเมืองหลินอันนี้กี่เที่ยวแล้วก็ยิ่งเจ็บใจ
หากรู้ก่อนนางยังจะเก็บตัวเป็นเพื่อนเหยียนเจวี๋ยไปด้วยเหตุใด นางสมควรมารออยู่ที่นี่เพื่อเปิดกล่องสุ่ม!
เหยียนเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาขบขันปราดหนึ่ง ก่อนโอบเอวเฉินวั่งซูไว้แล้วหงายตัวไปด้านหลังเบาๆ
เฉินวั่งซูตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบกำถุงของว่างของตนเองไว้แน่นแล้วหลับตาทันที
“ลืมตาเถอะ! ทางด้านนั้นเลิกกัดกันแล้ว อย่างไรก็คงไม่เอะอะไปกว่านี้แล้ว พวกเราควรกลับได้แล้ว วันพรุ่งยังต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง หากเจ้าใต้ตาดำคงถูกคิดว่ามีเตียงสูงหมอนนุ่ม แต่กลับไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน”
เฉินวั่งซูลืมตา พบว่าพวกตนมาอยู่บนเรือเล็กลำหนึ่งแล้ว ลุงหลินสวมงอบ ถ่อเรือ ท่าทางเหมือนกับวิญญาณก็มิปาน
พอเฉินวั่งซูเท้าถึงพื้นใจก็เต้นสม่ำเสมอขึ้นมาก กลับมาสุขุมเยือกเย็นเฉกเช่นที่ผ่านมา “อ้อ อย่างนั้นหรือ คราวก่อนฉินเจ่าเอ๋อร์ยังพูดกับข้าด้วยว่าท่านใช้การไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะบอกองค์ชายสี่หรือไม่ เฮ้อ…เมืองหลินอันนี่เล็กเกินไปแล้วจริงๆ…คนเรานี่นะ ล้วนแต่ก้มหน้าไม่เจอ เงยหน้าก็ต้องเจอ”
เหยียนเจวี๋ยไอโขลกๆ หลายที หวิดจะถูกน้ำลายตนเองทำให้สำลักตาย
หน้าเขาแดงเถือก หลุบตาลง ท่าทางเหมือนเป็นเดือนโรงเรียนมัธยมอุตริอ่านหนังสือที่ไม่ควรอ่านแล้วถูกครูจับได้คาหนังคาเขา
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ใจละลาย “ท่านใช้การได้ ท่านเก่งที่สุด!”
เหยียนเจวี๋ยหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมแล้ว เขามองลุงหลินอย่างเงียบๆ แวบหนึ่ง ก่อนลดเสียงลง “รอยอดดวงใจมีใจให้ข้า ยอมรับข้าเมื่อไร ข้าจะบอกยอดดวงใจว่าข้าใช้การได้หรือใช้การไม่ได้”
เฉินวั่งซูงงงันไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหลุบตาลง นางมองคนได้แม่นยำมาแต่ไหนแต่ไร
ขณะเหยียนเจวี๋ยพูดคำนี้ท่าทางจริงจังยิ่ง จริงจังจนเหมือนว่านำเอาวันเวลาอันนานแสนนานมาให้สัญญาก็มิปาน
ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนที่เพิ่งได้รู้จักเพียงไม่กี่เดือน…
เฉินวั่งซูกำมือ ทันใดนั้นเหยียนเจวี๋ยก็ดันลูกกุญแจดอกหนึ่งมาให้ “เจ้ามิใช่ชอบล่าสมบัติหรือไร นี่เป็นกุญแจห้องเก็บของ ข้างในมีแต่สินเดิมของมารดาข้า ข้าเองก็ไม่ได้ดูอย่างละเอียด รอถึงจวนแล้วเจ้าก็ไปหาชิ้นที่ตนเองชอบแล้วกัน มิใช่ข้าคุยโว ในนั้นไม่มีกาผุๆ กับหนังสือเก่าๆ ไร้ค่าไร้ราคาอยู่แน่นอน”
เฉินวั่งซูพลันรู้สึกอุ่นวาบในใจ และจมูกนางไม่ได้มีเลือดกำเดาไหลแต่อย่างใด
“หนังสือเก่าแล้วอย่างไร สิ่งที่สกุลเฉินของพวกข้ามีมากที่สุดก็คือหนังสือเก่า อย่าเห็นแค่ว่าเหลืองแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเป็นตำราโบราณที่ท่านไม่รู้จักก็เป็นได้! หากนำออกไปขาย เจอกับผู้ที่รู้คุณค่าก็มิได้ด้อยไปกว่าสร้อยทองนั้นของท่านเลย”
เฉินวั่งซูว่าแล้วก็หยิบของสี่อย่างนั้นออกมาจากในถุงผ้า
สร้อยทองรวมถึงกวนอินหยกที่เหยียนเจวี๋ยล้วงมาได้แค่เห็นก็รู้ว่ามูลค่าไม่ธรรมดา ทว่าหาได้มีจุดใดพิเศษไม่ เฉินวั่งซูมองได้ไม่นานก็เบนสายตาไปยังกานั้น
“เป็นสีฟ้าเหมือนท้องฟ้าหลังฝน ด้านบนมีภาพวาดอยู่ด้วย ดูท่าทางน่าจะมาจากเยวี่ยโจว” เฉินวั่งซูพูดแล้วก็ชี้ตราประทับสีแดงที่ใต้กานั้น “ส่วนหนังสือเล่มนี้ปกหนังสือชำรุดแล้ว ดูเหมือนจะเป็นบันทึกล้างมลทินของต้าอ๋องสาม…ตรงนี้มีตราประทับ แต่เป็นหนังสือสะสมของใครกันแน่นั้นข้ากลับไม่รู้ ได้ยินว่าขณะสถาปนาแคว้นหนังสือนี่แพร่หลายเป็นวงกว้าง แต่ต่อมามีคนฆ่าคนโดยเลียนแบบตัวอย่างคดีในนั้น ราชสำนักจึงให้คนชำระพวกมัน อนุญาตให้เพียงเหล่าผู้ที่เป็นนักชันสูตรและผู้พิพากษาศึกษาเท่านั้น นี่เป็นหนังสือต้องห้ามในหมู่ราษฎร ขณะราชสำนักอพยพลงใต้ไม่รู้ว่าทำของหายไปมากน้อยเพียงไร บทละครเหมือนเช่นนี้เกรงว่าจะไม่มีวางขายแล้ว”
เฉินวั่งซูมองหน้าหนังสือสีเหลืองนี้แล้วก็ไม่กล้าจับพลิกหน้าอยู่บ้าง นางถึงขนาดกลัวว่าถ้าตนเองหายใจแรงหน่อย หน้าหนังสือนี้ก็จะป่นเป็นชิ้นๆ เถ้าแก่โจวผู้นั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยจริงๆ ยัดหนังสือนี้ใส่ในเกลือตรงๆ โดยไม่แม้แต่จะเอากระดาษน้ำมันมาห่อ
“ส่วนว่าของสะสมนี้เป็นของผู้ใด รอข้ากลับไปเปิดดูคู่มือภาพก็จะได้รู้แล้ว”
เหยียนเจวี๋ยเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “คู่มือภาพ? คู่มือภาพอะไรหรือ”
“อ้อ ไม่มีอะไร ก็แค่สินเดิมที่บิดามารดาข้ามอบให้ ในนั้นเป็นบันทึกวิจารณ์งานศิลป์ของพวกเขา มีพวกภาพแจกันภาพโถต่างๆ อยู่จำนวนหนึ่ง มีไว้ช่วยไม่ให้เวลาออกจากจวนไปเห็นอะไรแล้วพอถูกถามก็ตอบไม่ได้สักอย่างจนเป็นการขายหน้าสกุลเฉินของข้า”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.