ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 133-135
บทที่ 133
เหยียนเจวี๋ยมองมายังเฉินวั่งซูด้วยความรู้สึกปนกันยุ่งเหยิง
เปลี่ยนมามีชีวิตในร่างใหม่เหมือนกัน แต่เขาไม่มีแม้แต่ความทรงจำ ทุกครั้งที่เห็นโบราณวัตถุและตำรับตำราเหล่านั้นก็จะแสร้งทำเป็นลูกผู้สูงศักดิ์พูดขมุบขมิบฟังไม่รู้เรื่อง อ้าปากบอกได้แค่ว่าเป็นแจกันเป็นจานเป็นชาม ต้องมานั่งพยายามเริ่มเรียนจากตำราพันอักษรใหม่ตั้งแต่ต้น
แต่เฉินวั่งซูมีความรู้และสติปัญญา มีแผนการเต็มหัวไม่ต้องนั่งท่องก็ช่างเถอะ นี่ยังถึงกับติดตั้งตัวช่วยพิเศษเสริมไว้เช่นนี้อีก…
คนเราที่สุดแล้วก็ต่างกันจริงๆ
ทว่ายังดีที่ตอนนี้เฉินวั่งซูเป็นภรรยาของเขา
เฉินวั่งซูพูดจบก็รู้สึกได้แล้วเช่นกันว่านี่เป็นเสมือนการโจมตีติดคริติคอลต่อเหยียนเจวี๋ยที่ตาบอดมาหลายเดือน จึงหัวเราะเสียงต่ำ “ไว้กลับไปแล้วข้าจะมอบสิ่งนี้ให้ท่าน ถึงอย่างไรพวกที่อยู่ในสมองข้าก็พอใช้แล้ว”
เหยียนเจวี๋ยกุมหน้าผาก เจ้าไม่พูดยังจะดีกว่า ข้ารู้สึกว่าข้ารู้แล้วว่าการถูกมีดแทงซ้ำเป็นอย่างไร!
ลุงหลินถ่อเรือไวยิ่ง พวกเขาหาฝั่งที่ใกล้กับจวนฮู่กั๋วกงที่สุด เฉิงอู่บังคับม้ามารออยู่ตรงนั้นแล้ว อีกฝ่ายนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าคนเดียว แม้จะยังไม่เห็นเหยียนเจวี๋ยแผ่นหลังก็ยังตั้งตรงราวกับมีใครดามแผ่นเหล็กไว้ที่หลังเขาก็มิปาน
พอเข้าประตูจวนได้เฉินวั่งซูก็สั่งให้ไป๋ฉือเปิดหีบหาคู่มือภาพนั้นออกมา เปิดดูได้ไม่กี่หน้าก็ได้ยินไป๋ฉือถามขึ้นว่า “คุณหนูอยากหาว่าของพวกนี้มาจากที่ใดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉินวั่งซูพยักหน้า “เจ้าเองก็มาช่วยหาที นี่จะหนาเกินไปหน่อยแล้ว ไม่รู้ต้องหาถึงปีใด”
ไป๋ฉือขยับริมฝีปากเล็กน้อย ชี้ของสี่อย่างบนโต๊ะ “คุณหนู นี่น่าจะเป็นของราชบุตรเขยเจิ้งเต๋อและองค์หญิงเฉิงอัน…”
มือที่เปิดหนังสือของเฉินวั่งซูเกิดอาการชะงัก “เจ้ารู้จัก?”
ไป๋ฉือหยิบกาน้ำชาสีฟ้าใบนั้นบนโต๊ะขึ้นมา “บรรพบุรุษบ่าวมีภูมิลำเนาอยู่ที่เยวี่ยโจว แม้จะไม่เคยไป แต่ยามได้ยินคำว่าเยวี่ยโจวก็จะให้ความสนใจมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย องค์หญิงเฉิงอันกับราชบุตรเขยเจิ้งเต๋อล้วนมาจากเยวี่ยโจว”
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยที่จับต้นชนปลายไม่ถูกคราหนึ่งก่อนอธิบาย “องค์หญิงเฉิงอันเป็นคนรุ่นเดียวกับปู่ของฝ่าบาท นางไม่ได้มีสายเลือดราชวงศ์ เวลานั้นแคว้นต้าเฉินต้องการองค์หญิงไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่องค์หญิงตัวจริงไม่มีสักคนที่เต็มใจไป บิดาขององค์หญิงเฉิงอันเป็นแม่ทัพพิทักษ์แถบเยวี่ยโจว นางเกิดมาพร้อมความองอาจกล้าหาญ จึงอาสาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ คลี่คลายเรื่องเร่งด่วนให้ราชสำนัก ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงเฉิงอัน มีความหมายว่าบ้านเมืองมั่นคงสงบสุข แต่ไหนเลยจะเคยคิดว่าองค์หญิงไม่เพียงเป็นคนแข็งแกร่ง ดวงชะตาก็แข็งกร้าวเช่นกัน ตอนแรกคนเถื่อนบอกจะให้คนพี่แต่งกับองค์หญิง ผลคือคนพี่ดันตายไป คนเถื่อนไม่สนใจ เลือกคนกลางมาแทน ผลคือคนกลางก็ตายไปอีก สุดท้ายหมดทางเลือกจึงเปลี่ยนเป็นเด็กสิบขวบ ผลคือเด็กคนนั้นก็ตายไปเช่นกัน องค์หญิงเฉิงอันพิชิตศัตรูได้ด้วยกำลังของนางเพียงผู้เดียว ฝ่าบาทในเวลานั้นทรงโสมนัสอย่างมาก ตรัสชมว่าองค์หญิงทรงเป็นต้าอ๋องสามกลับชาติมาเกิด…”
เฉินวั่งซูฟังเรื่องเล่ามาถึงตรงนี้ก็แจ้งใจในฉับพลัน “ข้านึกออกแล้ว ฝ่าบาทในตอนนั้นดีพระทัยมาก จึงมอบบันทึกล้างมลทินเล่มนั้นที่ตัวต้าอ๋องสามเองเก็บรักษาไว้อย่างทะนุถนอมในสมัยโน้นให้เป็นรางวัลแก่องค์หญิงเฉิงอันด้วยพระองค์เอง”
ไป๋ฉือพยักหน้า กล่าวต่ออีกว่า “องค์หญิงเฉิงอันเป็นที่โจษจันเรื่องชื่อเสียงอัปมงคล อายุใกล้สามสิบยังไม่ได้แต่งงาน ภายหลังมีผู้ปราดเปรื่องนามซูซั่วจากเยวี่ยโจวขอนางแต่งงานต่อหน้าธารกำนัลในงานเลี้ยงอุทยานฉยงหลินที่จัดเพื่อต้อนรับจ้วงหยวนคนใหม่ ขณะซูซั่วสอบผ่านอายุเพิ่งจะสิบแปด น้อยกว่าองค์หญิงเฉิงอันถึงแปดปีเต็มๆ เวลานั้นไม่รู้มีคนตั้งเท่าไรด่าซูซั่วว่ามุ่งหวังเกียรติยศและความมั่งคั่ง แต่คนทั้งสองล้วนมิเคยออกมาอธิบายแม้แต่คำเดียว สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดอง มิต้องบอกเลยว่าสุขสันต์กลมเกลียวกันมากเพียงไร กาน้ำชาสีท้องฟ้าหลังฝนนี้เป็นของที่ซูซั่วราชบุตรเขยเจิ้งเต๋อนำไปจากเยวี่ยโจว เป็นของตกทอดจากบรรพบุรุษของพวกเขา ได้ข่าวว่าในรัชกาลก่อนเครื่องกระเบื้องเยวี่ยโจวมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งใต้หล้า แต่ต่อมาภายหลังมิรู้เหตุใดจึงขาดการสืบทอดไป เครื่องกระเบื้องที่มีสีทำนองนี้ไม่สามารถเผาออกมาได้แล้ว เวลานั้นในย่านการค้าลือกันว่าราชบุตรเขยชอบดื่มชา ทุกครั้งที่เป็นวันฝนตกจะชงชากาหนึ่งในห้องหนังสือและอ่านบันทึกล้างมลทินของต้าอ๋องสามให้องค์หญิงเฉิงอันฟัง นั่งอยู่ด้วยกันอย่างนั้นทั้งวัน”
ไป๋ฉือพูดพลางหยิบสร้อยทองที่ในความธรรมดามีความตระการตาอย่างไร้รสนิยมปนอยู่เส้นนั้นขึ้นมา
“สร้อยเส้นนี้เป็นของที่ท่านย่าขององค์หญิงเฉิงอันสวมให้นางตอนที่นางไปจากเยวี่ยโจว ได้ยินว่าที่เผ่าคนเถื่อนลำบากแสนเข็ญไม่พอ ยังไม่สามารถใช้เงินของแคว้นต้าเฉินเราได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านผู้เฒ่าจึงนำทองมาหลอมเป็นปลอกคอขนาดเท่านิ้วมือ แต่ต่อมาก็คิดอีกว่าหากต้องใช้อย่างเร่งด่วน ปลอกคอทองไม่สะดวกจะแบ่งออกมาใช้ จึงสั่งให้คนหลอมทำใหม่เป็นสายสร้อยทองเส้นนี้ จี้หยกที่ด้านล่างนั้นข้างนอกกลมกลึงเหมือนไข่ห่าน แต่เมื่อนำไปส่องกับไฟจะปรากฏรูปกระบี่แหลมคมออกมา จุดประสงค์คือต้องการให้องค์หญิงจดจำไว้เสมอว่าต่อให้ชีวิตบีบคั้นจนต้องเปลี่ยนมาทำตัวกลอกกลิ้งเพียงไรก็อย่าได้ลืมความหลักแหลมคมคายในตนเอง องค์หญิงเชื่อมสัมพันธ์จะเสียศักดิ์ศรีไม่ได้เป็นอันขาด คุณหนู ท่านลองส่องกับแสงดูก็จะทราบแล้วเจ้าค่ะว่านี่ใช่เป็นขององค์หญิงเฉิงอันหรือไม่”
เฉินวั่งซูพยักหน้า หยิบจี้หยกนั้นมาส่องก็เห็นเส้นแหลมคมเส้นหนึ่งอยู่ด้านในเหมือนที่ไป๋ฉือบอกจริงๆ บอกว่าเป็นกระบี่ แต่จริงๆ กลับมองไม่ออกเลย เพียงให้ความรู้สึกคมปลาบเท่านั้นเอง
“เป็นขององค์หญิงเฉิงอันมิผิดแน่ ทว่าองค์หญิงเฉิงอันสิ้นพระชนม์ไปหลายปีมากแล้ว…”
เฉินวั่งซูพูดพลางยื่นสร้อยคอนั้นให้เหยียนเจวี๋ยต่อ
เหยียนเจวี๋ยขมวดคิ้ว “หรือจะเป็นของฝังร่วมกับคนตาย”
“ขณะฝังร่างองค์หญิงเฉิงอันกับราชบุตรเขยเจิ้งเต๋อร่วมกันได้นำของเก่าที่พวกเขาใช้เป็นประจำฝังลงไปด้วยจริงๆ แต่สุสานนั้นอยู่ที่เมืองตงจิง…องค์หญิงเฉิงอันได้ฝังในสุสานหลวง”
เฉินวั่งซูพูดแล้วก็หยิบกวนอินหยกนั้นขึ้นมาดูต่อ แต่กลับมองจุดพิเศษใดๆ ไม่ออก
“เรื่องนี้แปลกยิ่ง เกลือเถื่อนห้าลำเรือนั้นล้วนเป็นจวนองค์ชายสามให้เถ้าแก่โจวนำไปแยกขาย เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือของในสุสานขององค์หญิงเฉิงอันเป็นของจวนองค์ชายสาม พวกเขาต้องการกำไรจากเกลือเถื่อน เรื่องชะล้างของล้ำค่าที่มีที่มาอันให้ใครรู้ไม่ได้ให้ใสสะอาดพวกเขาก็ทำด้วยเช่นกัน
สองคือของนี้เป็นของเถ้าแก่โจวเอง นำมาสอดไส้ไว้ข้างในจะได้ไม่ดึงดูดความสนใจคน ทว่าสภาพการณ์ในคืนนี้ท่านเองก็เห็นแล้ว เถ้าแก่โจวถูกเกาฮูหยินซื้อตัวไปแล้ว ก่อนเขาจะไปพบเฉินสี่หลิงได้มองคนของเกาฮูหยินที่รอโอกาสอยู่ที่ร้านบะหมี่ก่อน เช่นนั้นเขาจะต้องรู้แน่นอนว่าสินค้าทั้งห้าลำเรือไม่มีทางขนออกไปได้อย่างปกติ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเปลืองแรงยัดของไว้ข้างในโดยไม่ได้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นหากเขามีของล้ำค่ามากเพียงนี้ ไยจึงต้องเสี่ยงอันตรายเป็นนายหน้าให้ผู้อื่นด้วย”
เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็มุ่นคิ้ว “ของเป็นของจวนองค์ชายสาม แต่เขาแซ่เจียง ถึงองค์หญิงเฉิงอันจะเป็นองค์หญิงต่างแซ่ แต่องค์ชายสามก็ไม่มีเหตุผลให้หยิบฉวยสิ่งของของคนตายมาจากสุสานหลวง ตามที่เจ้าว่า องค์หญิงเฉิงอันค่อนข้างมีชื่อเสียง หากสุสานของนางถูกปล้น เรื่องนี้น่าจะเป็นที่ครึกโครมยิ่งยวด ทว่ากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…”
เฉินวั่งซูพยักหน้า “สิบปีก่อนย่อมไม่มีเรื่องนี้แน่นอน เวลานั้นคนแซ่เจียงยังนั่งบัลลังก์มั่นคงอยู่ที่เมืองตงจิง สุสานหลวงมีการพิทักษ์รักษาอย่างแน่นหนา ใครจะเข้าไปปล้นสุสานองค์หญิง นั่นต้องเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง ต่อมาแคว้นเป่ยฉีเข้าปกครอง ได้เลียนแบบวิธีการของจงหยวนทุกอย่างเพื่ออุดปากคนในใต้หล้า ราชวงศ์ของแคว้นเป่ยฉีได้ออกปากเองว่าจะไม่ทำเรื่องอย่างการขุดสุสานผู้อื่นเป็นอันขาด เช่นนั้นของเหล่านี้มาได้อย่างไร อีกทั้งตกมาอยู่ในมือองค์ชายสามได้อย่างไรเล่า”