ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 133-135
บทที่ 134
เหยียนเจวี๋ยถอนหายใจพลางมอง ‘ข้อคิดจากการอ่านหนังสือของจิ้นซื่อมือใหม่’ ที่พี่ภรรยามอบมาให้เขาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าปราดหนึ่งด้วยท่าทางน่าสงสารเป็นหนักหนา
“เห็นทีพวกเราคงต้องไปที่ตั้งเผ่ามู่ซีสักเที่ยวจริงๆ ปรากฏของฝังร่วมกับคนตายหนึ่งชิ้นยังไม่แปลก อาจจะเป็นพวกคนเถื่อนแคว้นเป่ยฉีนั่นลักลอบเข้าสุสานหลวงก็เป็นไปได้ แต่ทว่าในสินเดิมของท่านแม่ข้ามีต้นไม้ทองที่แปลกประหลาดต้นนั้น ในวงแหวนรูปงูกินหางสีทองที่เป็นของดูต่างหน้าของท่านปู่เจ้ามีแผนที่สุสานใหญ่ของเผ่ามู่ซี บัดนี้ก็มีของจากสุสานขององค์หญิงเฉิงอันโผล่มาอีก แต่ละเรื่องเชื่อมเข้าด้วยกัน จะต้องมิใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอย่างแน่นอน ในเรื่องนี้จะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันเป็นแน่แท้”
เหยียนเจวี๋ยยิ่งพูดในใจก็ยิ่งกลัดกลุ้ม
แม้เขาจะอวดตัวว่าเป็นคนฉลาด แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะเอาชนะคนที่บากบั่นร่ำเรียนมาเป็นสิบๆ ปีด้วยเวลาเพียงไม่กี่เดือนได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ทุกครั้งที่เฉินวั่งซูหลับไปแล้วเขาก็จะลุกขึ้นมาอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ พอฟ้าใกล้สางถึงได้เอนตัวลงนอนอีกครั้ง
จุดประสงค์ก็เพื่อเมื่อถึงเวลาที่สอบผ่านแล้วเฉินวั่งซูจะได้ปรบมือพร้อมพูดว่า ‘สามี ท่านถึงกับเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง!’
แล้วตอนนั้นเขาจะตอบกลับไปเนิบๆ ว่า ‘ก็ทั่วไปกระมัง แค่อ่านส่งๆ นิดเดียว ไม่ได้อยากจำ แต่ดันไม่ลืมเอง’
แต่ทีนี้ฝันคงต้องสลายแล้ว
ปริศนาที่ยังแก้ไม่ได้เดิมก็มีนับไม่ถ้วนแล้ว คราวนี้ยังมีเพิ่มมาอีกหนึ่ง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็หรี่ตาพลางอ้าปากหาว “จะไปหรือไม่ไปวันหน้าค่อยว่ากันแล้วกัน ตอนนี้ข้าง่วงแล้วจริงๆ อย่าว่าแต่องค์หญิงเฉิงอันเลย ต่อให้ฝ่าบาทมาฉุดรั้งข้า ข้าก็จะไปนอน”
นางว่าแล้วก็ตรงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องเล็กด้านข้างโดยไม่แม้แต่จะเก็บของบนโต๊ะเหล่านั้น
เหยียนเจวี๋ยมองดูแผ่นหลังที่โซซัดโซเซของนางแล้วก็ก้มหน้าลงหัวเราะเบาๆ
วันรุ่งขึ้น ณ วังหลวงแคว้นต้าเฉิน
เฉินวั่งซูคีบเนื้อลูกแพะย่างถ่านชิ้นหนึ่งมาจิ้มเครื่องเทศในจานเล็กแล้วบรรจงส่งเข้าปาก เมื่อรู้สึกถึงสายตาจากฝั่งตรงข้ามเฉินวั่งซูก็ขยับเปลี่ยนมุมเล็กน้อย เผยใบหน้าด้านขวาที่น่ามองที่สุดของตนเองออกมา
นี่เป็นมุมที่ดีที่สุดที่นางส่องคันฉ่องอยู่หลายวันจนหาออกมาได้
จากสายตาขององค์ชายเจ็ดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มุมนี้แสดงความสูงส่งและความชาญฉลาดของหญิงสาวออกมาได้อย่างไร้ที่ติ…
แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล มุมนี้แสงส่องดีมาก ย่อมจะทำให้นางดูขาวผ่องขึ้น อยู่กับเหยียนเจวี๋ยก็ไม่ถึงขั้นพ่ายแพ้หลุดลุ่ยปานนั้น
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็อดจะเหลือบมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่งไม่ได้ เขากำลังจับมีดสั้นแล่เนื้อแพะให้นางอย่างตั้งอกตั้งใจ
พอรู้สึกถึงสายตาของนางเหยียนเจวี๋ยก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า “เป็นอะไรไป รู้สึกเบื่อแล้วหรือ”
จะไม่เบื่อได้อย่างไร!
เฉินวั่งซูรู้สึกว่าตนเองนับว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว ตั้งแต่เข้ามาในวังก็ราวกับว่าเล่นเกมผู้เล่นเดี่ยวกับคนอื่นแล้วประวัติการเล่นหายไป ต้องเริ่มเล่นใหม่ก็มิปาน ถ้อยคำสรรเสริญเยินยอที่พูดไปเมื่อวาน วันนี้ต้องพูดใหม่เหมือนเดิมอีกรอบ
แค่นี้? คนทั้งตำหนักยังคงสามารถสุขสันต์ชื่นมื่น ดีอกดีใจเสียเหมือนว่าเพิ่งจะค้นพบนิมิตมงคลนั่นก็มิปาน
บอกว่าพวกเขาอุดหูขโมยกระดิ่งหลอกตนเองยังเป็นการดูหมิ่นคำเหล่านี้เลย
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็คีบเนื้อแพะขึ้นมาอีกชิ้น จิ้มเครื่องเทศอีกจานแล้ววางลงในชามเหยียนเจวี๋ย “ท่านอย่าห่วงแต่แล่เนื้อให้ข้า ตนเองก็กินด้วย มิเช่นนั้นเดี๋ยวเย็นแล้วขาแพะย่างจะมีกลิ่นสาบ”
นางพูดพลางใช้หางตาเหลือบมองฝั่งตรงข้าม
เห็นองค์ชายเจ็ดมองมาทางนี้ตาละห้อยก็อดจะหัวเราะเสียงต่ำไม่ได้ บุรุษเลวนี่กินในชามมองในหม้อเห็นนางเป็นแสงจันทร์ขาวอย่างหน้าไม่อายแล้ว
นางกำลังด่าในใจก็ได้ยินเหยียนเจวี๋ยพูดว่า “ยอดดวงใจ ข้าไม่น่ามองหรือไร”
เฉินวั่งซูกระแอมกระไอให้คอโล่ง แต่กลับดึงแขนเสื้อเหยียนเจวี๋ย ทำท่าบอกให้เขามองไปยังจุดที่ฮ่องเต้อยู่
ยามนี้เห็นเพียงอัครมหาเสนาบดีเกาลุกขึ้นยืนอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก ปลดหมวกขุนนางและตรามัจฉาของตนเองลงมาเบาๆ “ฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว หูตาไม่ดีแล้ว จึงใคร่กราบทูลขอลาออกจากตำแหน่ง เกษียณกลับบ้านเกิดพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นอัครมหาเสนาบดีเกากล่าววาจานี้ออกมาทั้งห้องก็เงียบฉี่ มีเพียงนักดนตรีเหล่านั้นที่มีประสบการณ์ความรู้มาก ยังคงบรรเลงเพลงต่อไปประหนึ่งไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้พลันแข็งทื่อ เขาโบกมืออย่างรำคาญใจ เป็นสัญญาณบอกให้นักดนตรีออกไป แล้วถึงมุ่นหัวคิ้วพลางกล่าวว่า “อัครมหาเสนาบดีเกากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ขยันหมั่นเพียร เป็นแขนซ้ายแขนขวาของเรา วันนี้เป็นวันดี ไยต้องเอ่ยเรื่องนี้”
อัครมหาเสนาบดีเกาส่ายศีรษะ ก้าวออกมาถวายบังคมเต็มพิธีการต่อฮ่องเต้ “เป็นเพราะได้เห็นยุคสมัยอันเจริญรุ่งเรืองนี้ ในใจกระหม่อมจึงได้ประหวัดอย่างใจหาย ขณะฝ่าบาทยังมิได้เสด็จขึ้นครองราชย์ก็ได้ตรัสเรียกกระหม่อมว่าอาจารย์แล้ว ก่อนหน้านี้แม้ภายนอกกระหม่อมจะถ่อมตัว แต่ในใจภาคภูมิยิ่งยวด มีฐานะเป็นพระอาจารย์ฮ่องเต้ก็แทบอยากจะพิจารณาตนเองวันละสามหนเพื่อธำรงให้แว่นแคว้นมีความเที่ยงธรรม แต่บัดนี้กระหม่อมกลับละอายใจ แม้แต่หลานชายแท้ๆ ของตนเองยังสั่งสอนให้ดีไม่ได้ ไม่มีหน้าเป็นอาจารย์ผู้ใดจริงๆ”
ฝ่าบาทมองอัครมหาเสนาบดีเกาด้วยสายตาลึกซึ้งปราดหนึ่ง ผ่านไปเป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “อัครมหาเสนาบดีทรงความรู้ความสามารถ ไม่ต้องถ่อมตัวจนเกินไป ผู้ใดไม่มีบุตรหลานอกตัญญูกันบ้างเล่า เรารู้นิสัยของท่านดี เกาอี้เสียงคือเกาอี้เสียง อัครมหาเสนาบดีเกาก็คืออัครมหาเสนาบดีเกา”
อัครมหาเสนาบดีเกาเบ้าตาแดง เริ่มมีประกายน้ำตาระยิบระยับ เขาจับแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา ก่อนกล่าวเสียงเครือ “อี้เสียงเผลอเดินทางผิด สมคบคิดกับตันหยางจวิ้นอ๋อง* กระทำเรื่องภูตผีปีศาจนั่น ความผิดมิอาจได้รับการอภัยโดยแท้ กระหม่อมใคร่กราบทูลขอฝ่าบาทจากใจจริงให้ทรงลงโทษอย่างหนักตามกฎหมายแคว้นต้าเฉินโดยมิต้องละเว้น กระหม่อมเป็นปู่ของเขา ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อบรมเลี้ยงดูและควบคุมดูแลได้ก็ถือเป็นความผิดใหญ่ ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่กระหม่อมรับใช้แคว้นต้าเฉินด้วยความจงรักภักดี ถอดชุดขุนนางนี้ของกระหม่อม ริบตรามัจฉากลับไป…เหลือศักดิ์ศรีสุดท้ายไว้ให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมผิดต่อฝ่าบาท รู้สึกอับอายแค้นใจจนกลางคืนข่มตาหลับไม่ลงแล้วจริงๆ”
ตันหยางจวิ้นอ๋องคือบ้าบออะไรอีก!
เฉินวั่งซูรู้ว่าพอนิมิตมงคลปรากฏขึ้นเมื่อวาน สกุลเกากับพวกองค์ชายสามจะต้องมีความเคลื่อนไหวแน่นอน แต่ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นี้เป็นใครอีกเล่า
ไม่เพียงแค่นาง แต่ขุนนางทั้งราชสำนักก็ต่างเริ่มแอบกระซิบกระซาบกัน ‘อะไรน่ะ ตันหยางจวิ้นอ๋องเป็นผู้ใด’ ‘แคว้นต้าเฉินของเรามีจวิ้นอ๋องผู้นี้ด้วยหรือ’
ฮ่องเต้ยิ่งตะลึงไปครู่ใหญ่ ขันทีชราที่ด้านข้างต้องขยับไปกระซิบเตือนว่าเขายังมีญาติผู้พี่ห่างๆ ผู้นี้อยู่บนโลก
แม้ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นี้จะแซ่เจียงเหมือนกัน แต่หากกล่าวตามลำดับเครือญาติแล้วกลับนับเป็นญาติอะไรไม่ได้นานแล้ว ทว่าเมื่อสิบปีก่อนราชวงศ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แทบจะเหลือคนแซ่เจียงเพียงไม่กี่คน
ราชวงศ์ใหญ่ราชวงศ์หนึ่งจะเหลือแค่คนสองสามคนก็ใช่ที่ ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงพยายามตามหาไปทั่วสารทิศ ในที่สุดก็ไม่รู้ไปหาผู้ที่พอมีเชื้อสายร่วมกับเขามาได้สองสามคนจากซอกมุมใด จากนั้นก็แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้
ตันหยางจวิ้นอ๋องท่านนี้นับว่ามีสายโลหิตใกล้ชิดที่สุดแล้วถึงได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง
เพียงแต่บรรดาศักดิ์เหล่านี้นอกจากสามารถได้รับเบี้ยหวัดจากในวังแล้วก็ไม่มีประโยชน์ใช้สอยอื่นใดอีก
ตันหยางจวิ้นอ๋องไม่เคยวนเวียนในวงการขุนนาง ใครจะไปจำเขาได้!
ฮ่องเต้จึงกระแอมอย่างกระอักกระอ่วนเช่นกัน “เกี่ยวอะไรกับตันหยางจวิ้นอ๋อง”
อัครมหาเสนาบดีเกาช้อนสายตาขึ้นมาก่อนถอนหายใจเบาๆ คำรบหนึ่ง “ฝ่าบาท วันประสูติของตันหยางจวิ้นอ๋องก็คือวันที่สิบห้าเดือนเก้าพ่ะย่ะค่ะ”