ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 133-135
บทที่ 135
เฉินวั่งซูหวิดจะหลุดสบถออกมา
แต่เนื่องด้วยจิตสำนึกของดาราสาวจึงเพียงแต่ด่าเงียบๆ ในใจให้ระบบฟัง
ดูท่าทางงุนงงสับสนของคนทั้งตำหนักนี้สิ ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นหน้าเป็นอย่างไร พวกเขาไม่รู้โดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องรู้ว่าวันเกิดของเขาคือวันที่สิบห้าเดือนเก้าแล้ว นี่คืออะไร จะต่อว่าที่ทุกคนไม่ได้ฉลองวันเกิดให้เขาหรืออย่างไร
ผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวภายในนั้นมองอัครมหาเสนาบดีเกาอย่างหมดคำจะกล่าว นี่ช่างเป็นคนซื่อจริงๆ เขาไม่ได้โกหก เขาแก่จนสมองไม่ดีแล้วจริงๆ เชื้อพระวงศ์ที่ไม่รู้โผล่ออกมาจากซอกมุมใดผู้หนึ่ง ใครจะไปสนใจว่าเขาเกิดวันใด
ผู้ที่รู้ยิ่งหมดคำจะกล่าว ตันหยางจวิ้นอ๋องอะไร ท่านรีบเปลี่ยนชื่อเป็นแพะรับบาปเร็วๆ เถอะ นี่เป็นบาปมหันต์เชียวนะ หล่นใส่ตัวได้ตายแน่!
ฮ่องเต้ใช้สายตามองอัครมหาเสนาบดีเกาด้วยสายตาแฝงความหมายลึกซึ้ง หาได้กล่าวสิ่งใดไม่
อัครมหาเสนาบดีเกาไม่ใส่ใจ กล่าวต่ออีกว่า “เกาอี้เสียงหลานชายอกตัญญูผู้นั้นของกระหม่อมได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากฝ่าบาท จึงได้มีตำแหน่งในกองราชองครักษ์ ออกทำภารกิจเป็นประจำ ถึงยามเทศกาลก็ล้วนได้เขาคุ้มกันของขวัญไปส่งญาติๆ เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ยากจะเลี่ยงไม่ให้ยโสโอหัง อีกทั้งหันไปชอบพวกเรื่องแปลกๆ ยิ่งเมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์สองปีก่อน เขานำเบี้ยหวัดไปส่งยังจวนตันหยางจวิ้นอ๋อง ได้บังเอิญค้นพบว่าตันหยางจวิ้นอ๋องกับหลิวเจาหยางผู้นั้นคุยกันถึงความมหัศจรรย์ของเผ่ามู่ซี
บันทึกในตำราโบราณที่พวกเขาค้นพบบอกว่าชาวเผ่ามู่ซีเป็นผู้เหลือรอดของเผ่าสวรรค์ มีวิธีติดต่อกับเทพ คนในเผ่าปกติไม่เคยเจ็บป่วย แข็งแรงอายุยืน ใช้มีดกรีดข้อมือก็แผลหายสนิทได้ในบัดดล นอกจากนี้วงเวทที่ตกทอดมาแต่บรรพบุรุษนั้นยังสามารถฝืนกฎฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิต ปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้”
อัครมหาเสนาบดีเกาพูดพลางเช็ดน้ำตา “อี้เสียงไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็ก เห็นพวกเขาพูดเสียเป็นจริงเป็นจังมีเหตุมีผลจึงได้เผลอเดินทางผิด ความผิดที่เขาเคยกระทำผู้เป็นปู่อย่างกระหม่อมจะไม่กลบเกลื่อนให้เขาแม้แต่กระผีกเดียวเป็นอันขาด เด็กผู้นี้หมกมุ่นจนเสียสติเพราะเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้เมื่อฝ่าบาทจะทรงส่งคนไปปราบโจรเขาถึงได้ขันอาสาไปเอง จุดประสงค์ก็เพื่อวิชาลับของเผ่ามู่ซี ฝ่าบาท ทรงพระราชดำริดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ เขาทำความผิดมากมายเพียงนี้ มีประโยชน์ต่อเขาแม้แต่น้อยนิดหรือไม่ ทว่าตันหยางจวิ้นอ๋องมีโรครุมเร้ามานาน หยูกยารักษาไม่หาย หมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินปีนี้ อี้เสียงเห็นเขาเป็นสหาย ด้านหนึ่งเกิดความสงสารเห็นใจ อีกด้านก็อยากเห็นว่าเรื่องที่บันทึกอยู่ในตำราโบราณเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถึงได้รวมหัวกับหลิวเจาหยางผู้นั้นกระทำความผิดมหันต์ลงไป”
เฉินวั่งซูฟังมาถึงตรงนี้ก็ใช้เท้าเตะเหยียนเจวี๋ย
อัครมหาเสนาบดีเกาผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นขุนนางกังฉิน แต่งเรื่องมาเรียบร้อยหมดแล้ว!
อีกทั้งโชคดีที่เขาหาคนที่สอดคล้องได้ในเวลาที่สั้นปานนี้ ถ้าหากตันหยางจวิ้นอ๋องป่วยหนักจริงๆ ขอเพียงเขารับอุปการะบุตรหลานทายาทของอีกฝ่าย อย่าว่าแต่รับบาปเลย ให้ตายไปตรงๆ ก็ย่อมได้
ยิ่งไปกว่านั้นกลวิธีการพูดแบบใช้อ่อนพิชิตแข็งนี้ก็เป็นแบบอย่างของพวกคนถ่อยเจ้าเล่ห์เลยทีเดียว ตัวร้ายทั้งหมดล้วนสมควรพากเพียรศึกษา องค์ชายสามนั่นรวมหัวกับเกาอี้เสียงต้องการฝืนกฎฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิต หมายมุ่งตำแหน่งรัชทายาท ทว่าพอมาอยู่ในปากของอัครมหาเสนาบดีเกา
นั่นกลับมิใช่วางแผนกบฏ แต่เป็นคนจิตใจดีต้องการรักษาอาการป่วยให้สหาย!
มียางอายบ้างหรือไม่! รักษาอาการป่วยให้ผู้อื่นก็ต้องสังหารชาวเผ่ามู่ซีทิ้งทั้งเผ่า ถึงขนาดฆ่าหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ตายไปแปดคน คราบโลหิตและน้ำตาเหล่านี้พอออกมาจากปากเขากลับเบาหวิวจนคล้ายเป็นใบไม้ร่วง
ไม่คู่ควรที่จะถูกเอ่ยถึงอย่างจริงจังโดยสิ้นเชิง!
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ให้ใจหล่นวูบ มองไปยังฮ่องเต้
ฮ่องเต้มององค์ชายสามปราดหนึ่ง เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตนเอง คล้ายว่าฟังจนงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกก็อ้าปากถามว่า “ตันหยางจวิ้นอ๋องป่วยหนัก อยู่บนโลกได้อีกไม่นาน ไม่เคยมาเชิญหมอหลวงในวังไปตรวจดู?”
ขันทีชราที่ยืนอยู่ข้างกายเขาสะบัดแส้ปัดทีหนึ่ง ก่อนก้าวออกมาพูดเสียงเบา “ฝ่าบาท เคยเชิญอยู่ครั้งสองครั้งพ่ะย่ะค่ะ ทว่าตันหยางจวิ้นอ๋องร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด เมื่อกอปรกับขณะอพยพลงใต้ในตอนโน้นได้รับความตกใจ เผลอถูกแทงเข้าที่อก หมอหลวงดูแล้วก็จนปัญญา เพียงใช้ยาบำรุงประคองอาการไว้เท่านั้น”
อัครมหาเสนาบดีเกาฟังแล้วก็ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ก่อนยื่นถวายด้วยสองมือ “นี่เป็นหนังสือให้การที่ตันหยางจวิ้นอ๋องเขียนพ่ะย่ะค่ะ เมื่อกระหม่อมรู้ความจริงของเรื่องนี้จากอี้เสียงแล้วไปถึงจวนจวิ้นอ๋อง เขาก็ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกเรื่องในนี้อธิบายไว้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ฝ่าบาท กระหม่อมพูดมากเพียงนี้หาได้เป็นเพราะต้องการช่วยให้เกาอี้เสียงหลานชายของกระหม่อมพ้นผิดไม่”
เขาพูดพลางร่ำไห้ขึ้นมาอีก สองมือสั่นไม่หยุด ปากกระตุกหลายทีถึงได้กล่าวว่า “บัดนี้หลิวเจาหยางตายแล้ว ตันหยางจวิ้นอ๋องก็มีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว…ฝ่าบาท กระหม่อมใคร่กราบทูลขอให้ทรงเห็นแก่ที่ทั้งสกุลเการับใช้แว่นแคว้นด้วยความจงรักภักดี…เหลือศพสมบูรณ์ให้เกาอี้เสียงหลานชายกระหม่อม…เพื่อที่ชาติหน้าเขาจะยังสามารถมาเกิดเป็นคนเพื่อชดใช้ความผิดของตนเองได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
อัครมหาเสนาบดีเกาพูดจบก็หมอบลงกับพื้น เริ่มโขกศีรษะถวายบังคมเต็มพิธีการ
“ท่านปู่ ท่านกำลังพูดอะไร พี่ชายข้าจะตายได้อย่างไร เกาอี้เสียงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้า เขาเป็นหลานชายแท้ๆ ของท่านนะเจ้าคะ! เขาก็แค่ทำความผิดเพราะต้องการช่วยคนเท่านั้นเอง พี่ชายข้าจงรักภักดีต่อราชสำนัก เมื่อปีกลายเขายังพูดกับข้าอยู่เลยว่าขณะอพยพลงใต้ในตอนโน้นเขาหวิดจะตกน้ำ เป็นไทเฮาทรงคว้าคอเสื้อเขา ช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างหวุดหวิด เขาระลึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ ต้องการช่วยขจัดความทุกข์กังวลให้ไทเฮามาเสมอมา ไทเฮามีพระทัยระลึกถึงองค์หญิงเป่าจู เขาเองก็ตามหาวิชาลับที่จะทำให้องค์หญิงฟื้นคืนพระชนม์ชีพได้มาโดยตลอด ข้าไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ซ้ำยังหัวเราะเยาะเขาว่าเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า…จะเกิดเรื่องเช่นนี้ ท่านพี่ไม่ให้ข้าพูดเรื่องนี้ออกมา บอกว่ากลัวจะเสื่อมเสียถึงไทเฮา แต่ข้าเกามู่เฉิงมีเรื่องอะไรก็พูดตามตรงตลอดมา ท่านพี่กระทำผิดจริงแท้ แต่เขาสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของไทเฮา จงรักภักดีต่อราชสำนักสุดหัวใจ มีน้ำใจต่อมิตรสหาย…ไยจึงมีโทษถึงตาย ท่านปู่คิดถึงแค่หน้าตาของสกุลเกา แต่ว่านั่นเป็นพี่ชายของข้านะเจ้าคะ…ฝ่าบาท…ฝ่าบาท มู่เฉิงใคร่ขอให้ทรงพระราชดำริดู มีหลายครั้งที่ทรงประสบภยันตราย ล้วนเป็นพี่ชายหม่อมฉันออกไปบังอยู่ด้านหน้าเป็นคนแรก เรื่องอื่นไกลไม่ขอกล่าวถึง แต่ที่หมู่บ้านสกุลจาง…”
“หุบปาก! เรื่องในราชสำนักไหนเลยจะให้เจ้าพูดเหลวไหลได้ พี่ชายเจ้ามีความผิด…” อัครมหาเสนาบดีเกาพูดพลางผุดลุกขึ้นยืน ก่อนเหวี่ยงฝ่ามือตบหน้าเกามู่เฉิง
เกามู่เฉิงกุมใบหน้าไว้ด้วยความตะลึงพรึงเพริด ทั้งตำหนักเงียบกริบ
ในเวลานี้เองขันทีน้อยผู้หนึ่งก็พลันวิ่งเข้ามาร้องโหวกเหวกว่า “ฝ่าบาท…ฝ่าบาท เมื่อครู่นี้จวนตันหยางจวิ้นอ๋องมารายงานว่าตันหยางจวิ้นอ๋องโรคเก่ากำเริบ ขอเชิญหมอหลวงไปตรวจดู แต่หมอหลวงยังไม่ทันไปถึง…เขาก็…เขาก็สิ้นลมไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พอฟังมาถึงตรงนี้เฉินวั่งซูก็พลันรู้สึกว่ามือถูกบีบรัด นางก้มหน้าลงมองก็พบว่าเหยียนเจวี๋ยจับมือนางไว้แน่นที่ใต้โต๊ะ เขากำลังเดือดดาล
เฉินวั่งซูกระตุกแขนเสื้อของเหยียนเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจ
เหยียนเจวี๋ยได้สติกลับมาก็รีบคลายมือออก ก่อนเขาจะถอนหายใจ “เกินเยียวยาแล้ว”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.