ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 136-138
บทที่ 136
เฉินวั่งซูพยักหน้าหนักๆ ถูกต้อง! เพราะฉะนั้นสามีโยนความฝันถึงสันติสุขของท่านทิ้งไปให้ไว แล้วก่อกบฏด้วยกันกับข้าเถอะ!
หมัดต่อยคนผู้นี้สักสาม เท้าเตะฝ่าบาท ทำให้แคว้นต้าเฉินกลายเป็นแคว้นต้าเฉินที่แท้จริง!
ข้าเฉินวั่งซูแซ่เฉิน นั่นก็คือฮ่องเต้ต้าเฉินที่สวรรค์เลือกมาอย่างไรเล่า! แน่นอนว่าหากฮ่องเต้แซ่เฉินแล้ว ชื่อแคว้นก็ต้องเป็นเหยียนกระมัง พวกเราเรียกว่าต้าเหยียนก็ดีเหมือนกัน! ต้าเหยียน ต้าเยี่ยน..ห่านป่า! สิบปีก่อนบินจากเหนือลงใต้แล้ว พอมาถึงมือข้าก็ควรบินกลับไปได้แล้ว
หากรู้สึกว่าเชยก็ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่าชื่อแคว้นสามารถเรียกเป็นเหม่ยเหยียนได้!
เฉินวั่งซูถูกความฉลาดของตนเองทำเอาประทับใจจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว
เรื่องมาถึงบัดนี้ยังมีอะไรที่มองไม่ออกอีก นี่ชัดเจนว่าตาแก่อัครมหาเสนาบดีเกาผู้นี้สมคบกับคนทั้งกลุ่มสร้างสถานการณ์เพื่อกันองค์ชายสามออกจากเรื่องนี้อย่างไรเล่า!
น่าสงสารตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นที่ต้องกลายเป็นแพะรับบาปและสิ้นชีวิตไปอย่างอาภัพเพียงเพราะเกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้า
ป่วยมานานอะไร หน้าอกได้รับบาดเจ็บอะไร ร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิดอะไร
ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ฝ่าบาทเพิ่งไปขุดออกมาจากซอกใดสักซอกหลังจากมาถึงเมืองหลินอันแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนักไม่มีใครจำได้สักคน ขันทีชราที่ข้างกายเขาคนนั้นกลับจำได้ชัดเจนแม้กระทั่งว่าเขาเคยหาหมอหลวงอยู่ครั้งสองครั้ง
เว้นแต่ว่าตันหยางจวิ้นอ๋องจะเป็นบิดาของเขา มิเช่นนั้นมีหรือจะกตัญญูได้ถึงขั้นนี้
ยิ่งอยากปิดเรื่องยิ่งแดงแท้ๆ!
หากเป็นการทำรายการบันทึกไปให้สำนักหมอหลวงอย่างปัจจุบันทันด่วนอาจจะไม่ทัน เป็นไปได้มากว่าตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นแข็งแรงดีมาก แต่เผอิญเคยหาหมอหลวงอยู่หนสองหน ขันทีชราไม่มีทางเลือกถึงได้ออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์นี้
ตอนแรกเฉินวั่งซูยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอตาแก่นี่กระโดดออกมาอธิบายนางก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องแล้ว ยามอพยพลงใต้เมื่อสิบปีก่อนถือเป็นหายนภัยสำหรับแคว้นต้าเฉิน ผู้ที่หนีรอดมาได้อย่างราบรื่นมีคนใดร่างกายไม่แข็งแรงบ้าง
พวกที่อ่อนแอขี้โรคแต่กำเนิดจะมีได้สักกี่คน
ยิ่งพอมีข่าวการตายส่งมาก็ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
นี่คือต้องการให้ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นตายไปจะได้ตรวจสอบไม่ได้ ‘พยานคำพูด’ เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว คนย่อมจะไม่มีประโยชน์แล้ว
ฮ่องเต้นิ่งงันไปครู่ใหญ่ รับคำให้การนั้นไปมองแล้วมองอีก เป็นนานก็ยังไม่ปริปาก
ขุนนางทั้งหลายในตำหนักต่างเริ่มถกเถียงกันเบาๆ แม้จะเป็นเช่นนี้กลับไม่มีใครก้าวออกมาทัดทาน
เกามู่เฉิงเห็นแล้วก็ร้อนใจ กระทืบเท้า สะบัดองค์ชายเจ็ดที่ต้องการจะลากตัวนางกลับไป
นางหน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่เจียงเยี่ยเฉินอย่างดุร้าย ก่อนจะพุ่งปราดไปหาฮ่องเต้สองสามก้าว “ฝ่าบาท…ฝ่าบาท ทรงละเว้นชีวิตพี่ชายหม่อมฉันด้วยเพคะ จะทรงปลดเขาเป็นสามัญชนก็ดี จะทรงให้เขาออกจากเมืองหลวงไปตลอดกาลก็ช่าง…ฝ่าบาท ขอเพียงทรงไว้ชีวิตเขาก็พอ ฝ่าบาท…”
ผ่านไปเนิ่นนานฮ่องเต้ถึงได้มองไปยังอัครมหาเสนาบดีเกาที่คุกเข่าอยู่อีกด้าน สายตาเขามิได้หยุดอยู่บนตัวเกามู่เฉิงแม้แต่เสี้ยวเวลาเดียว คล้ายว่านางผู้นี้เป็นเพียงอากาศธาตุก็มิปาน
“อัครมหาเสนาบดีกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง อนุญาตตามคำขอ เกาอี้เสียงเด็กคนนี้เราเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต อยู่ในกองราชองครักษ์ก็ทำงานได้เป็นมั่นเหมาะตลอดมา เราให้ความสำคัญต่อเขาอย่างมาก ทว่าแม้เผ่ามู่ซีจะกันดารห่างไกลก็ยังคงเป็นราษฎรของเรา เรื่องที่เกาอี้เสียงสังหารคนทั้งหมู่บ้านมีหลักฐานความผิดแน่ชัด หากไม่ลงโทษสถานหนักจะต้องกลายเป็น…”
อัครมหาเสนาบดีเกาฟังพระราชกระแสรับสั่งของฝ่าบาทแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาเบาๆ ม่านตาพลันหดตัว ครั้นแล้วก็รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็หัวเราะเสียงเย็นอยู่อีกด้าน
ตาแก่นี่คิดจะถอยเพื่อรุก คงคิดไม่ถึงกระมังว่าฝ่าบาทจะเล่นตามน้ำ…
“เหลือศพสมบูรณ์ให้เขาก็แล้วกัน ตันหยางจวิ้นอ๋องเองก็นับเป็นตัวการ ให้ขับออกจากสกุลเจียง ปลดเป็นสามัญชน”
อัครมหาเสนาบดีเกาถอนหายใจเบาๆ ก่อนน้อมรับพระมหากรุณาธิคุณ
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็มองไปที่เกามู่เฉิง พลันรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้ดูคล้ายจะไม่ได้น่าชังปานนั้นแล้ว
นางยืนอยู่ตรงนั้น นิ้วมือใกล้จะฝังเข้าในเนื้อแล้ว ริมฝีปากสั่นไม่หยุด หน้าผากก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ หน้าอกสะท้อนขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าเดือดดาลถึงขีดสุดแล้ว
วันนี้เกาฮูหยินไม่ได้เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยง พระสนมเกาทั้งสองท่านก็อ้างว่าป่วยมิได้มาเช่นกัน ทั่วทั้งโถงใหญ่หากยังมีใครแยแสต่อความเป็นความตายของเกาอี้เสียง นั่นก็มีเพียงเกามู่เฉิงแต่ผู้เดียวแล้ว
แม้เจ้าเดนมนุษย์นั่นจะสมควรตายก็ตามที
“ฝ่าบาทเพคะ!” เสียงของเกามู่เฉิงโหยหวนอยู่บ้าง
นางเบ้าตาแดง พลันยกมือชี้องค์ชายสาม
องค์ชายสามตกใจ รีบขยับหลบ อัครมหาเสนาบดีเการีบลุกขึ้นยืน ดึงตัวเกามู่เฉิงไว้ “มู่เฉิง ข้ารู้ว่าเจ้าผูกพันกับพี่ชายเจ้ามาก แต่นี่เป็นสถานที่อะไร เรื่องของราชสำนักย่อมมีฝ่าบาทตัดสินพระทัย พี่ชายเจ้าได้รับโทษสาสมกับความผิด มิอาจแค้นผู้อื่นได้ ข้าเห็นว่าเจ้ามีอาการไม่สบาย กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยจะดีกว่า องค์ชายเจ็ด ขอให้พระองค์ทรงจัดหาคนพามู่เฉิงกลับไปพักผ่อนด้วยเถิด”
องค์ชายเจ็ดรู้สึกถึงสายตาของคนทั้งหลายก็รีบยืนขึ้น เขาหน้าดำทะมึน เห็นได้ชัดว่ารู้สึกขายหน้าถึงที่สุด “เสด็จพ่อ เกาซื่อไม่สบาย ลูกขอตัวพานางกลับไปพักผ่อนก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “กลับไปเถอะ เราเองก็เหนื่อยแล้ว”
เกามู่เฉิงเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็พลันหัวเราะคิกคักขึ้นมา
“ฝ่าบาท ลองทอดพระเนตรดูสิเพคะ หม่อมฉันพูดถึงพี่ชาย พวกเขาไม่ร้อนใจ เหมือนไม่เห็นหม่อมฉันเป็นคนอย่างไรอย่างนั้น แต่ครั้นหม่อมฉันพูดถึงองค์ชายสามพวกเขาต่างก็ร้อนใจแล้ว อยากจะไล่หม่อมฉันกลับไปแล้วอุดปากหม่อมฉันไว้ใจแทบขาด”
เกามู่เฉิงว่าแล้วก็เบ้าตาแดง ความเร็วในการพูดเพิ่มขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องการฟ้องร้ององค์ชายสามข้อหาค้าเกลือเถื่อนเอาเงินเข้าจวนตนเอง! บางทีผู้ที่เกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้าอาจจะเป็นคนชั่วกันทั้งหมด ถ้ามิใช่ฆ่าคนวางเพลิงเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตนเอง พอเรื่องถึงตัวก็หาคนมารับเคราะห์แทนก็ไม่เห็นกฎหมายแคว้นต้าเฉินอยู่ในสายตา! ต้องการจะขุดคลังเกลือของฝ่าบาทให้เกลี้ยง!”
“ไม่มีหลักฐาน เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”
มิใช่แค่อัครมหาเสนาบดีเกาที่ตาเขียวปั้ด เฉินวั่งซูมองดูรอบๆ พวกองค์ชายสามที่ยืนอยู่ในยามนี้แทบอยากจะพุ่งตัวมาบีบคอหญิงท่าทางเหมือนเสียสติอย่างเกามู่เฉิงให้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยทีเดียว
นี่คือนางว่าเกาอี้เสียงจะต้องตายก็ไม่สนใจจุดยืนของสกุลเกา จะลากองค์ชายสามลงน้ำขุ่นให้ได้ชัดๆ
เดิมทีเรื่องนั้นฮ่องเต้ได้กำหนดโทษและปิดคดีลงแล้ว แต่นางกลับมาไม้นี้อย่างเหนือความคาดหมาย…
“เหอะๆ ข้าไม่มีหลักฐาน? ข้าเกามู่เฉิงก็คือหลักฐาน! เมื่อคืนนี้ข้ามองเห็นชัดกระจ่างตาว่าเฉินสี่หลิงพระชายาองค์ชายสามลากเกลือเถื่อนไปส่งมอบให้หัวหน้าเรือแซ่โจวที่รับจ้างช่วยคนขายของโจรตามแม่น้ำผู้นั้น
ห้าลำเรือเต็มๆ! ถูกข้าจับได้คาหนังคาเขา! นี่มิใช่หนแรกแล้ว พวกเขาขนออกไปทุกสามวันห้าวัน! เรือนั้นยังจอดอยู่ที่ท่าเรือ! ข้ากลัวพวกเขาจะหนีไปจึงสั่งให้คนจับตามองไว้ตลอด! คลังสินค้าอยู่ที่ใดข้าก็รู้เช่นกัน ฝ่าบาท มู่เฉิงพาพระองค์ไปทอดพระเนตร พระองค์ก็จะทรงทราบแล้วว่ามู่เฉิงโป้ปดหรือไม่”
เกามู่เฉิงพูดแล้วก็หัวเราะอย่างเสียสติอีกสองสามที “ข้าน่ะไม่มีความแค้นกับองค์ชายสาม จะว่าไปแล้วเขายังเป็นญาติกับข้าเสียด้วยซ้ำ! เหตุใดข้าต้องใส่ร้ายป้ายสีเขาด้วย ปกติมู่เฉิงดื้อรั้น ไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านปู่แต่โดยดี วันนี้ในงานเลี้ยงที่วังหลวงกลับได้เรียนรู้คุณธรรมความประพฤติอันดีงามของคนสกุลเกาแล้วอย่างแท้จริง นั่นก็คือการจัดการลงโทษญาติพี่น้องปกป้องความเป็นธรรม!”