ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 136-138
บทที่ 137
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็อดจะลอบยกนิ้วหัวแม่มือให้เกามู่เฉิงไม่ได้ ประโยคนี้กล่าวได้เยี่ยมยอด!
ลำพังแค่มองดูแผ่นหลังนางก็จินตนาการใบหน้าที่ใกล้จะโมโหจนปริแตกนั้นของอัครมหาเสนาบดีเกาออกได้แล้ว สะใจแท้ๆ! นางยังแทบอยากจะเลิกปลอมเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์แล้วก้าวไปสะสางบุญคุณความแค้นให้สาแก่ใจ ทำให้อัครมหาเสนาบดีเกาโมโหตายไปเลย!
เกามู่เฉิงยืดอกมองอัครมหาเสนาบดีเกาอย่างท้าทาย
คนบางคนเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก คนบางคนไม่เคยมีคำว่าส่วนรวม
“เฉินสี่หลิง เจ้ากล้าออกมายืนยันกับข้าหรือไม่ เมื่อคืนนี้ข้าจับเจ้าได้คาหนังคาเขาที่ท่าเรือจริงหรือไม่ องค์ชายสาม ท่านกล้าสาบานต่อฟ้าหรือไม่ว่าท่านไม่ได้ค้าเกลือเถื่อน ข้ากล้าสาบานเลยว่าทุกคำที่ข้าพูดเป็นความจริง! ท่านกล้าหรือไม่ คนโกหกต้องถูกฟ้าผ่าไม่ได้ตายดี!”
เรื่องที่เกามู่เฉิงพูดเป็นที่สะท้านสะเทือนเกินไป ในโถงจึงเงียบกริบจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก
เฉินสี่หลิงพระชายาองค์ชายสามขาอ่อนยวบ ทั้งตัวคนไหล่ทรุดลงประหนึ่งว่าไม่มีกระดูกแล้ว องค์ชายสามยื่นมือคิดจะประคอง กลับประคองไว้ไม่อยู่
เฉินสี่หลิงล้มลงอย่างแรง คล้ายว่าพลันได้สติเต็มตาแล้วจึงรีบพูดว่า “เมื่อคืนพวกเราได้พบกันที่ท่าเรือจริง มีเถ้าแก่โจวอยู่จริง แต่พูดไปก็ให้ละอายใจ”
เฉินสี่หลิงพูดพลางลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ก่อนถวายบังคมเต็มพิธีต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พูดแล้วก็ให้ละอายใจ สี่หลิงไม่สันทัดเรื่องบริหารดูแลการค้า ทุกปีจวนองค์ชายสามล้วนไม่มีกำไร ฤดูสารทปีนี้ก็เก็บเกี่ยวไม่ดี เห็นว่าชาวบ้านใกล้จะลำบากกันในฤดูหนาวแล้ว ตามธรรมเนียมปีที่ผ่านๆ มาในจวนจะต้องทำกุศลแจกโจ๊กและเครื่องนุ่งห่ม องค์ชายมีพระเมตตา หม่อมฉันจะทำให้ต้องทรงผิดหวังได้อย่างไร องค์ชายทรงมีงานรัดตัว หม่อมฉันไม่อยากนำเรื่องเงินมารบกวน จึงได้หาเถ้าแก่โจวมาด้วยคิดจะนำสินเดิมส่วนหนึ่งออกไปขายที่ห่างไกล ในเมืองมีครอบครัวมั่งคั่งไม่น้อยที่ทำเช่นนี้ เถ้าแก่โจวผู้นั้นมีชื่อเสียงในการค้าทางน้ำพอตัว คนไม่น้อยในเมืองที่บริหารเงินไม่ทันล้วนจะไปให้เขาช่วยอย่างเงียบๆ หม่อมฉันส่งคนนำของไปให้เขาบนทะเลสาบซีหูตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เมื่อวานจู่ๆ เถ้าแก่โจวก็ให้คนมาบอกว่าของของหม่อมฉันมีปัญหาอยู่บ้าง หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้จึงรีบไป…ไม่คาดคิดว่า…ไม่คาดคิดว่า…”
เฉินสี่หลิงพูดพลางมองตรงไปยังเกามู่เฉิงตาไม่กะพริบ “ไม่คาดคิดว่าเกาฮูหยินกับน้องสะใภ้เจ็ดจะพาคนไปรอหม่อมฉันอยู่ตรงนั้นแล้ว เถ้าแก่โจวผู้นั้นปิดปากเงียบไม่พูดถึงของที่หม่อมฉันให้เขาไป กลับเอาแต่พูดถึงเกลือเถื่อน…น้องสะใภ้เจ็ด ข้ารู้ว่ากับเจ้าแม่ทัพเกาสองพี่น้องผูกพันกันลึกซึ้ง องค์ชายของพวกข้าเองก็ประสูติวันที่สิบห้าเดือนเก้าจริงๆ แต่เจ้าจะลากผู้บริสุทธิ์ลงน้ำเพื่อช่วยพี่ชายของเจ้ามิได้ ซ้ำยังซื้อตัวเถ้าแก่โจว จัดฉากนี้ขึ้นเพื่อต้องการควบคุมข้า…เมื่อคืนข้าได้พูดกับเจ้าไปแล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ องค์ชายมีพระเมตตากรุณา หากแม่ทัพเกาบริสุทธิ์จริง การที่พวกข้าช่วยพูดแทนเขาก็เป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ ข้านึกว่าเจ้าฟังเข้าหูแล้ว จึงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ มิได้บอกต่อผู้ใด ทว่าน้องสะใภ้เจ็ด…เจ้าทูลความเท็จเหลวไหลต่อพระพักตร์ฝ่าบาทด้วยได้อย่างไรกัน”
เฉินสี่หลิงพูดพลางถอนหายใจเบาๆ “แม้ข้าจะเคยร่ำเรียนหนังสือเพียงไม่กี่วัน แต่ก็รู้กฎหมายแคว้นต้าเฉิน หากข้าสามารถลากเกลือเถื่อนออกมาได้ห้าลำเรือก็คงไม่ถึงกับต้องขายสินเดิมกิน”
นางว่าแล้วเสียงก็ติดสะอื้นอยู่บ้าง “สินเดิมนั้นเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษข้า…เดิมทีข้าคิดจะปิดบังไว้…แต่บัดนี้…ผู้อาวุโสในบ้านข้าไม่รู้จะใจสลายเพียงใดแล้ว สี่หลิงละอายใจ ตนเองอกตัญญูถึงขีดสุดโดยแท้”
เฉินสี่หลิงพูดจบก็คารวะเต็มพิธีต่อเฉินเหล่าเอ้อร์
เฉินเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นก็คือนายท่านผู้เฒ่าแห่งบ้านรองสกุลเฉิน หรือก็คือปู่แท้ๆ ของเฉินสี่หลิง
องค์ชายสามเห็นดังนี้ก็ตะลีตะลานก้าวมาประคองเฉินสี่หลิงไว้ “เรื่องใหญ่ปานนี้ไยเจ้าจึงไม่บอกข้าด้วย! ข้ายังมีเบี้ยหวัดอยู่ ไหนเลยจะต้องให้เจ้าขายสินเดิม…”
เฉินสี่หลิงเบ้าตาแดง “สามี เป็นข้าบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว”
เฉินวั่งซูอ้าปาก มองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง โลกอันสันติสุข ท่านรีบดูเร็ว! ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการโกหกตาใส! หากพวกเราเป็นคนดีคงได้ถูกแทะจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
สวรรค์ลิขิตมาแล้วว่าต้องการให้พวกเราใช้ชีวิตเป็นตัวร้าย!
เหยียนเจวี๋ยรู้สึกถึงสายตาเหี้ยมเกรียมของเฉินวั่งซูก็มุมปากกระตุก ภรรยา เจ้าตั้งสติหน่อย นี่ยังอยู่ตำหนัก!
เฉินวั่งซูย่อมจะไม่รู้ว่าในใจของเหยียนเจวี๋ยนางได้ถูกคิดบิดเบือนไปเป็นแบบใดแล้ว นางหันหน้าไปมองเกามู่เฉิงอีกครั้ง
เกามู่เฉิงโมโหจนเนื้อบนหน้าสั่น เครื่องประทินโฉมที่เพิ่งแต่งเติมมาเมื่อเช้าร่วงกราวลงมา ทำให้หน้านางดูเป็นด่างดวง น่าสงสารเป็นพิเศษ “น่าขันเกินไปแล้วจริงๆ! นี่เจ้ามิใช่กำลังโกหกตาใสหรือไร ข้าใส่ร้ายเจ้า? ข้าเกามู่เฉิงโตมาจนป่านนี้ยังไม่เข้าครัว เพิ่งจะเมื่อคืนนี้เองที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าเกลือมีหน้าตาอย่างไร ข้าใส่ร้ายเจ้า? ข้าเสกเกลือเถื่อนห้าลำเรือออกมาใส่ร้ายเจ้ากระนั้นหรือ”
เกามู่เฉิงพูดอย่างโมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะเสียงเย็นออกมา นางเดินไปเบื้องหน้าองค์ชายสามและเฉินสี่หลิง ส่งเสียงถ่มน้ำลายอย่างแรง จากนั้นก็เดินตรงไปหยุดต่อพระพักตร์ฝ่าบาท “ฝ่าบาท ทอดพระเนตรสิเพคะ พระชายาองค์ชายสามเองก็พูดแล้วว่ามีเกลือเถื่อนจริงๆ นางบอกว่าหม่อมฉันให้ร้ายนาง แต่หม่อมฉันลืมไปแล้วว่าเกลือนั้นมาจากที่ใด เหมืองเกลือของต้าเฉินมีรวมๆ อยู่แค่นี้ พวกมันอยู่ที่นั่น ย้ายไปที่ใดไม่ได้ หนีก็หนีไม่พ้น มิสู้ทรงลองตรวจสอบแทนมู่เฉิงดูสิเพคะว่าเกลือเถื่อนห้าลำเรือนั้นหม่อมฉันไปขุดมาจากที่ใด เกลือห้าลำเรือต้องใช้คลังเก็บใหญ่มากเพียงไร คลังนั้นเป็นของใคร ทำมานานเท่าไรแล้ว ใครเป็นคนทำ
ตัวมอดบ่อนทำลายบ้านเมืองที่หน้าไม่อายพรรค์นี้ ฝ่าบาทต้องทรงหาตัวออกมาให้ได้แล้วลงโทษบั่นคอพวกเขาตามกฎหมายแคว้นต้าเฉินจึงจะถูก หากหาตรวจสอบออกมาได้ว่าเป็นฝีมือของหม่อมฉันเกามู่เฉิงจริงๆ ศีรษะของหม่อมฉันก็อยู่ตรงนี้ ทรงเอาไปได้ทุกเมื่อ!”
นางพูดพลางหลุบตาลง “ถึงอย่างไรศีรษะของพี่ชายหม่อมฉันก็ถูกท่านปู่ถวายให้พระองค์แล้ว”
เกามู่เฉิงพูดจบก็หัวเราะฟั่นเฟือนออกมาอีกครั้ง นางหมุนตัวไปมองอัครมหาเสนาบดีเกาที่หน้าเขียวคล้ำไปแล้ว “ท่านปู่ ไหนๆ ท่านก็จัดการลงโทษญาติพี่น้องปกป้องความเป็นธรรมแล้ว มิสู้ทำอีกสักครั้ง ที่ข้าผู้เป็นหลานสาวของท่านยังมีหัวอยู่นะเจ้าคะ!”
อัครมหาเสนาบดีเกามองเกามู่เฉิงอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าโครมลงกับพื้น “กระหม่อมไร้ความสามารถจะอบรมสั่งสอนให้ดี เกามู่เฉิงผู้เป็นหลานสาวเสียกิริยาต่อพระพักตร์ ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยังคงไม่เอ่ยสิ่งใด เขามองไปยังเกามู่เฉิงก่อนมองไปที่องค์ชายสาม ไม่รู้กำลังมีความคิดอะไรบ้าง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ร้อนใจ เจ้าช่วยใช้สมองที่ขึ้นสนิมรีบตัดสินใจให้ไวๆ หน่อย!
นางประหนึ่งเป็นผู้อ่านที่กำลังรอให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อ ทั้งๆ ที่ร้อนใจแทบตาย แต่ผู้แต่งดันมาตัดตอนอีก…แทบจะแดดิ้นสิ้นใจ อยากบุกไปตีหัวให้แบะเลยทีเดียว
ในโถงใหญ่มีเสียงเอ็ดอึงดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ละคนดูเหมือนล้วนมีเรื่องอยากพูดอยู่เต็มท้อง แต่กลับไม่มีสักคนที่ก้าวออกมาพูดจริงๆ
เฉินวั่งซูแววตามุ่งมั่น กำลังคิดจะก้าวออกไป ถลกแขนเสื้อแทงพวกเขาสักสองแผล กลับได้ยินเสียงใสเสนาะดังมาจากด้านหลัง “ฝ่าบาท กระหม่อมต่งหลีจากฝ่ายตรวจการมีเรื่องใคร่กราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”