ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 139-141
บทที่ 141
เฉินวั่งซูเหลือกตายกใหญ่ด้วยอารามหมดคำจะกล่าว ทำมาเป็นเสแสร้งวางท่า ระวังเถอะจะถูกฟ้าผ่าเอา!
พูดเสียเหมือนว่าท่านเป็นพยาธิในลำไส้ของฮ่องเต้ หยิ่งยโสเสียยิ่งกว่าอะไร! พอมาถึงก็จะริบสมบัติในมือนางไป ของฝังร่วมกับคนตายแล้วอย่างไร องค์หญิงเฉิงอันผู้นั้นมิใช่บรรพบุรุษแซ่เฉินของนางเสียหน่อย นางต้องกลัวด้วยหรือ
อีกประการหนึ่ง หากแผ่สินเดิมของมารดาบังเกิดเกล้าของเหยียนเจวี๋ยออกดูก็ไม่รู้ว่ามีของฝังร่วมกับคนตายอยู่ตั้งเท่าไร มีเหามากไม่กลัวคันพวกนางมีอะไรให้ต้องกลัว!
คิดจะหาประโยชน์จากผู้อื่นโดยไม่ต้องลงแรงหรือ ทั้งยังแสร้งวางมาดสูงส่งใหญ่โต เขาเลือกเป้าหมายผิดคนแล้ว!
“เช่นนั้นท่านก็รอไปแล้วกัน” เฉินวั่งซูพิงผนังรถม้าอย่างเกียจคร้าน ใช้มือข้างหนึ่งเท้าแก้ม กวักมือเรียกเหยียนเจวี๋ยด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบ
ที่นี่น่าจะมีบุหรี่สักหน่อย เฉินวั่งซูทอดถอนใจอีกครั้ง
“ท่านถามเขาไปด้วยเหตุใด เขามิใช่ทั้งฝ่าบาท ไม่ใช่ทั้งองค์ชายสาม ไหนเลยจะรู้ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร อีกประการหนึ่ง แม้แต่หลักฐานในวันนี้ สมุดบัญชีที่ถี่ถ้วนขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นการพึ่งใบบุญของคนรุ่นก่อนเช่นกัน”
ต่งหลีเดินไปได้ครึ่งทางแล้ว พอได้ยินวาจาของเฉินวั่งซูก็หยุดลงอีกครั้ง เขาหันหน้ากลับมามองตรงมายังเฉินวั่งซู
เปลือกตาเฉินวั่งซูไม่แม้แต่จะกะพริบ “ข้าพูดผิดหรือไร”
ต่งหลีส่ายศีรษะ “เป็นข้าดูถูกพวกท่านแล้ว ของเหล่านั้น เหลือไว้ให้ท่านแล้วกัน”
เฉินวั่งซูส่งเสียงหัวเราะค่อนแคะ “เป็นข้าดูถูกท่านแล้ว ชีวิตของท่าน เหลือไว้ให้ท่านแล้วกัน ผู้ตรวจการต่งอ่านตำรับตำราหลากหลายประเภท เป็นคนมีความรู้ ไฉนจึงไม่เข้าใจหลักการใช้ทรัพย์ผู้อื่นมาแสดงน้ำใจ
ข้าไม่ทราบเลยว่าที่แท้ท่านเป็นองค์หญิง”
ของอยู่ในมือผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น! ทำเสียอย่างกับว่าของพวกนั้นเป็นของของเขาก็มิปาน ความมั่นใจนี้หากล้นออกมาคงท่วมได้ทั้งเมือง
ดวงตาทั้งสองของต่งหลีเบิกถลน ผ่านไปเนิ่นนานกลับทำได้เพียงแต่คารวะเฉินวั่งซูอย่างเรียบร้อยซื่อตรง ก่อนสะบัดสะโพกเดินลาจากไป
เฉินวั่งซูหาว มองเหยียนเจวี๋ยที่นั่งยิ้มตาหยีอยู่ด้านข้างพลางขยี้ตา “ดูละครที่ทั้งยาวทั้งน้ำเน่ามาหนึ่งองก์ ง่วงจะตายอยู่แล้ว ถึงกับยังเจอคนโผล่มาดักปล้นอีก ปัจจุบันจิตใจคนเสื่อมทรามลงโดยแท้ น่าเศร้านัก”
เหยียนเจวี๋ยสั่งเฉิงอู่ออกรถ ก่อนขยับมานั่งข้างกายเฉินวั่งซู ยื่นมือมาโอบไหล่นางไว้อย่างแสร้งทำเป็นเยือกเย็น
เฉินวั่งซูรู้สึกว่านิ้วมือบนไหล่ตนสั่นระริกก็หัวเราะในใจ แต่มิได้เปิดโปงเขา “ท่านว่าน่าโมโหหรือไม่ เขาเก่ง พวกเราปรบมือให้เขาก็พอแล้ว มีที่ไหนที่เก่งแล้วก็มาล้วงเงินจากในกระเป๋าเงินข้ากัน ข้าเอาเข้าปากแล้ว เขายังกล้ามาบอกให้ข้าคายออกมา คิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับบิดาข้าแล้วข้าจะต้องไว้หน้าเขาหรือ”
เหยียนเจวี๋ยฟังความหมายนอกคำพูดของเฉินวั่งซูออกแล้ว จึงขมวดคิ้วว่า “เหตุใดจึงพูดเยี่ยงนี้”
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยด้วยสายตาจริงจังปราดหนึ่ง “ไยท่านต้องจงใจถามข้าเสียทุกเรื่อง ตัวท่านเองมิใช่คิดไม่ได้เสียหน่อย ที่ตำหนักใหญ่ ท่านพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างต่งหลีกับพี่ชายข้าออกมาเองก็เพื่อเตือนข้าว่านั่นเป็นคนกันเอง แม้คืนนี้เขาจะแสร้งวางท่าเกินไป แต่ของไม่กี่อย่างนั้นเป็นปัญหายุ่งยากจริงๆ หากมีใครค้นพบเข้า พวกเราก็เลี่ยงข้อหาปล้นสุสานหลวงได้ยาก ดังนั้นการที่เขามาขอไปจึงเป็นการคิดเผื่อพวกเราจริงๆ หาใช่โลภในทรัพย์สินเงินทองไม่”
เหยียนเจวี๋ยแย้มยิ้ม “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยังดึงดันจะเก็บไว้อีก”
เฉินวั่งซูแววตาวูบไหว “วันนี้ต่งหลีไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง ของสะสมที่อยู่ในเรือห้าลำนั้นเกรงว่าคงจะถูกเขาฮุบไปแล้ว ปัญหายุ่งยากนั้นใหญ่กว่าพวกเรามาก เขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องมากกว่าพวกเราเสียอีก
ขอเพียงพวกเราไม่นำออกมาโอ้อวดก็จะไม่มีใครค้นพบ ยิ่งกว่านั้นท่านเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงไม่พูดถึง ตระกูลของต่งหลีก็เป็นตระกูลขุนน้ำขุนนาง ไม่ถึงขนาดขาดเงินเพียงเท่านี้ ตัวเขาเองก็นับว่ามีนิสัยซื่อตรง แล้วเช่นนี้เหตุใดเขาต้องปิดบังความผิดขององค์ชายสาม”
เฉินวั่งซูพูดพลางลูบคางตนเองโดยไม่รู้ตัว
“ตามการสันนิษฐานของข้า เรื่องปล้นสุสานหลวงนี้หาใช่เรื่องที่องค์ชายสามทำเพียงคนเดียวไม่ เห็นได้ชัดว่ามีมานานมากแล้ว ท่านปู่ข้าเคยบอกว่าสหายต่างวัยคนหนึ่งของเขาได้มอบของที่เกี่ยวข้องกับสุสานใหญ่ของเผ่ามู่ซีเหล่านั้นให้แก่เขา บิดาข้ายังสามารถแยกแยะของฝังร่วมกับคนตายได้ในแวบเดียว สหายของท่านปู่ย่อมจะทำได้เช่นกัน แต่เขากลับไม่ถือ ซ้ำยังเห็นอีกฝ่ายเป็นสหายสนิทที่สุด ส่วนบิดาข้าของฝังร่วมกับคนตายที่ท่านให้เขา เขาได้คืนให้ท่านหรือไม่…ก็ไม่! ท่านปู่ข้า บิดาข้า อีกทั้งสหายสนิทของท่านปู่ผู้นั้น รวมถึงต่งหลีที่เพิ่งจะปรากฏตัว…แล้วไหนจะมารดาของท่าน ตลอดจนผู้เป็นต้นตอของของฝังร่วมกับคนตายเหล่านี้อย่างองค์ชายสาม ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับสุสาน…พวกเขามีความลับร่วมกัน ต่งหลีไม่พูดถึงเรื่องนี้ต้องมิใช่เพราะกำลังปกป้ององค์ชายสามเป็นอันขาด แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ความลับนี้เปิดเผยต่อผู้คน”
เหยียนเจวี๋ยคิดแล้วก็กล่าวต่อจากนาง “หากจะไขความลับนี้ในมือพวกเราบัดนี้มีเบาะแสอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือที่ตั้งสุสานใหญ่ของเผ่ามู่ซี เห็นทีคงต้องรีบไปสืบดูเสียแล้ว”
เขาพูดแล้วก็ชะงักอีกเล็กน้อย “เจ้าเคยคิดจะไปถามท่านพ่อของเจ้าตรงๆ หรือไม่”
เฉินวั่งซูส่ายหน้าทันควัน “ท่านพ่อข้าเป็นคนหัวรั้น หากเขาอยากบอกย่อมจะบอกเอง หากไม่อยากบอกก็จะไม่แพร่งพรายแม้แต่ครึ่งคำ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าบิดาข้าทำงานอะไรอยู่ในกรมพิธีการ”
เหยียนเจวี๋ยอึ้งงันไป “ดูแลพิธีศพ ส่งผู้ตายไปสู่สุคติ”
“ดูจากความนัยในวาจาของต่งหลี ท่านพ่อรวมถึงพี่ชายข้า หรือควรต้องพูดว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนดูถูกพวกเราสองคน!”
เฉินวั่งซูพูดแล้วก็ชักจะฮึกเหิม
เหยียนเจวี๋ยหน้าเสีย “ข้าเป็นตัวถ่วงแล้ว”
เฉินวั่งซูส่ายศีรษะ “ท่านตั้งใจกับการเตรียมตัวสอบเคอจวี่รอบพิเศษก่อน พวกเขาดูถูกพวกเราก็ไม่เป็นไร รอท่านสอบผ่านแล้ว พวกเราค่อยเดินหน้าเต็มกำลัง พอพวกเขารู้สึกว่าพวกเรามีคุณสมบัติพอแล้วย่อมจะเป็นฝ่ายมาแพร่งพรายข่าวคราวให้รู้มากขึ้นเอง ที่ตั้งเผ่ามู่ซี พวกเราก็ไม่อาจไปอย่างผลีผลามได้ ด้วยจะทำให้คนเกิดความสงสัย รอสิ้นสุดคดีขององค์ชายสามแล้ว เด็กกำพร้าทั้งสองจากเผ่ามู่ซีจะต้องกลับไปที่นั่นอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นค่อยไปด้วยกันกับพวกเขาก็ดีกว่าคลำทางไปเองแล้วหาที่ตั้งไม่เจอ”
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า เรื่องใดๆ มีหนักมีเบามีด่วนมีไม่ด่วน เรื่องด่วนที่ต้องจัดการในทันทีนี้คือเรื่องการสอบเคอจวี่รอบพิเศษจริงๆ
“ทว่าที่ท่านถามในตอนแรกนั้นถามได้มิผิด ไฉนองค์ชายสามถึงได้เหมือนเกิดวิกลจริต ทั้งๆ ที่เขามีโอกาสเป็นรัชทายาทสูงที่สุด แล้วไยถึงได้เกิดความคิดก่อกบฏ นี่โง่เขลาเกินไปจริงๆ ท่านคิดเห็นเช่นไร”
ครั้นเฉินวั่งซูถามคำถามนี้ออกมา เหยียนเจวี๋ยก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างเหลือล้น
คำตอบที่ต่งหลีตอบมาในตอนแรกนั้นทั้งลึกล้ำทั้งหยิ่งยโสคล้ายกับคำพูดของหมอดูตาบอดใต้สะพานลอย เรื่องที่พูดออกมาฟังดูเผินๆ ล้วนน่าเชื่อถือ ทำให้ไม่ว่าคนคิดไปในทางใดก็จะรู้สึกว่ามีเหตุผล
เขาควรพูดอะไรถึงจะสามารถกู้สถานการณ์ได้
“ปัจจุบันฝ่าบาทยังไม่ชรา ดูจากที่วันนี้ที่พระองค์อยากกระอักเลือดยังกระอักไม่ออก…เกรงว่าปกติคงมิได้มีโรคภัย ทั้งยังเสแสร้งแกล้งทำเพื่อหยั่งเชิงเหล่าองค์ชาย แต่อันที่จริงแข็งแรงจนฟาดวัวตายได้ อยู่ต่ออีกยี่สิบปีได้ไม่มีปัญหา” เหยียนเจวี๋ยพูดแล้วก็พลันนึกเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “หลายปีก่อนมีไต้ซือทำนายดวงชะตาให้ฝ่าบาท บอกว่าพระองค์จะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ถึงเก้าสิบปี ที่พระองค์ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาทเสียทีก็ด้วยสาเหตุนี้”
เฉินวั่งซูส่ายศีรษะในใจ คำทำนายนี้ใช้ไม่ได้! ตามเวลาในนิยาย อีกไม่กี่ปีฝ่าบาทก็จะถูกเหยียนเจวี๋ยฆ่าตาย แล้วองค์ชายเจ็ดก็จะได้สืบทอดบัลลังก์ต่อ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.