ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 142-144
บทที่ 142
เรื่องที่เหยียนเจวี๋ยพูดเข้าใจได้ง่ายยิ่ง
องค์ชายสามอายุไม่น้อย ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ทั้งยังมีสกุลเกาคอยช่วยเต็มที่ ปกติอาศัยหว่านเงินจนมีผู้สนับสนุนในราชสำนักจำนวนมาก แต่ก็จนใจที่บิดาบังเกิดเกล้าไม่ตายเสียที จึงได้มีความคิดนอกลู่นอกทางขึ้นมา
เริ่มจากหาผีมาแช่งให้บิดาตาย! แต่พอแช่งไม่ตาย เช่นนั้นก็ลอบเตรียมการไว้ เห็นสถานการณ์ผิดปกติเมื่อใดก็บีบให้เขาสละบัลลังก์แล้วสังหารทิ้ง
แต่กระนั้นเฉินวั่งซูยังคงรู้สึกว่าในเรื่องนี้จะต้องยังมีอะไรซุกซ่อนอยู่แน่นอน
“องค์ชายสามทรงโง่เขลา นั่นเป็นเพราะสกุลเจียงสืบทอดมาหลายชั่วคนจนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทว่าอัครมหาเสนาบดีเกาเป็นจิ้งจอกเฒ่า เขาที่เป็นคนถือหางเสือไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้องค์ชายสามเป็นอะไรไป
หากต่งหลีไม่ได้แสร้งทำเร้นลับซับซ้อน…ก็แสดงว่าองค์ชายสามทรงมีความบกพร่องอะไรที่ทำให้พอฝ่าบาทล่วงรู้แล้วจะไม่เลือกท่านเป็นรัชทายาทอย่างแน่นอน เป็นต้นว่าเกากุ้ยเฟยผู้เป็นท่านแม่ขององค์ชายสามสวมเขาให้ฝ่าบาท อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นพระโอรสแท้ๆ ของฝ่าบาท หรือไม่พระวรกายขององค์ชายสามก็บาดเจ็บ ไม่สามารถสืบทายาทได้…ไม่อย่างนั้นองค์ชายสามก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบรรดาพระสนมของฝ่าบาท…”
เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็ไอโขลก หวิดจะสำลักน้ำลายของตนเองตาย!
คุณดาราสาว! รู้ว่าคุณแสดงหนังมามาก แต่บทนี้ของคุณจะเหลวไหลเกินไปหน่อยแล้ว!
เหยียนเจวี๋ยไอไปไอมาก็พลันหนังแดง เขานึกถึงคำเล่าลือหนึ่งขึ้นได้
“ไม่แน่เจ้าอาจจะพูดถูกจริงๆ ข้าเข้าออกวังเป็นประจำ มีหนหนึ่งเคยได้ยินไทเฮาบ่นว่าเกากุ้ยเฟยไม่ใส่พระทัยฝ่าบาท…ช่วงนั้นกำลังอากาศร้อน เหล่าพระสนมในวังต่างก็เย็บฉลองพระองค์ฤดูร้อนตัวใหม่ให้ฝ่าบาท ผ้าแข่งกันบาง จนแม้แต่บนท้องฝ่าบาทมีไฝกี่เม็ดยังมองเห็นได้ทั้งหมด มีเพียงเกากุ้ยเฟยที่ไม่เพียงไม่ทำเอง กระทั่งบ่าวไพร่ในตำหนักก็ไม่มีใครทำ มีหนหนึ่งฝ่าบาทไปตำหนักของนางแล้วก็กลับออกมาด้วยอาการโมโหฮึดฮัด…เวลานั้นไทเฮาด่าว่านางไม่ลืมรักเก่า บอกว่าอัครมหาเสนาบดีเกากล้ายัดของสกปรกเข้าวัง รังแกกันเกินไปแล้ว นางไม่รู้ว่าข้ามีพลังภายในสูงส่งล้ำลึก จึงนึกว่าข้าไม่ได้ยิน เกากุ้ยเฟยรูปโฉมงดงาม ปกติก็นับว่าเป็นคนเก่ง แต่ดันมิเคยได้รับความชื่นชอบจากฝ่าบาท…ทำให้แม้นางจะมีรูปโฉมงดงาม ถือกำเนิดจากตระกูลมีชื่อ กลับมิได้เป็นที่โปรดปรานเสียเท่าไร ข้ามิได้ใส่ใจ แต่ครั้นเจ้าพูดเยี่ยงนี้ ในเรื่องนี้เกรงว่าคงมีอะไรซ่อนเร้นอยู่จริงๆ”
เฉินวั่งซูฟังมาถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งสองก็เจิดจ้าประดุจดวงดาวบนฟากฟ้า!
เยี่ยมไปเลย! นี่สิถึงจะเป็นความวุ่นวายที่ข่าวลับในวังพึงมี! ต้องให้ได้อย่างนี้ ลุกโหมขึ้นมาเลย!
ระหว่างที่สนทนากันรถม้าก็แล่นเข้าสู่จวนฮู่กั๋วกงแล้ว
เฉินวั่งซูลงจากรถม้าแล้วก็บิดขี้เกียจ ก่อนเดินตรงไปยังห้องนอนของตนเอง
เพิ่งจะเข้าประตูก็ได้ยินเหยียนเจวี๋ยสั่งว่า “ไป๋ฉือ ยกน้ำร้อนมาแช่เท้าให้คุณหนูเจ้าหน่อย ใส่ยากระตุ้นการไหลเวียนเลือดลงไปด้วย เสร็จแล้วก็เอาน้ำมันนวดมา รองเท้าใหม่ของนางเป็นร้านใดทำ วันหลังอย่าไปทำที่ร้านนั้นอีก”
ไป๋ฉือได้ยินก็รีบรับคำก่อนออกไปยกน้ำ
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าเท้าของตนเองเริ่มจะเจ็บมากขึ้น นางนั่งลงริมเตียง ถอดรองเท้าถุงเท้า ก่อนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าว่าข้าไม่ได้แสดงความเจ็บออกมาแม้แต่น้อยนิด!”
นางเป็นดารา เรื่องอย่างการสวมรองเท้าส้นสูงจนทำเอาขาแทบเป๋นั้นเป็นเรื่องปกติ
ทว่าต่อให้เฉือนเท้าออกแล้วสวมรองเท้าที่ไม่พอดีเท้าเหมือนอย่างพี่สาวของซินเดอเรลล่า นางก็ยังสามารถเต้นรำทั้งรอยยิ้มโดยมิทำให้ผู้ใดจับพิรุธได้แม้แต่กระผีกเดียว
เหยียนเจวี๋ยเขาจับพิรุธได้อย่างไร
เหยียนเจวี๋ยคล้ายมองความสงสัยของนางออก จึงจับเท้าของเฉินวั่งซูวางลงในน้ำร้อนอย่างเบามือ
จนกระทั่งรู้สึกถึงอุณหภูมิของน้ำ ใบหน้าของเฉินวั่งซูถึงได้แดงขึ้นมาอย่างความรู้สึกช้า
นี่เหยียนเจวี๋ยทำอะไร คนงามที่งามปานนี้จะล้างเท้าให้นางได้อย่างไร ควรมาอุ่นเตียงให้นางมากกว่า!
“ข้าเห็นเท้าเจ้าขยับหลายทีกว่าปกติ น้ำหนักยามเดินก็แผ่วเบาต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง อีกทั้งวันนี้ก็สวมรองเท้าคู่ใหม่ คิดว่าคงจะไม่พอดีเท้าจนขึ้นตุ่มพอง”
เฉินวั่งซูมองดวงตาของเหยียนเจวี๋ยด้วยอารามคาดไม่ถึง นี่ไม่ใช่ตาแล้ว นี่เป็นกล้องจุลทรรศน์มากกว่า!
มองไปมองมา เหยียนเจวี๋ยไม่มีท่าทางเก้อเขิน นางกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
เฉินวั่งซูก้มหน้าลง ถามเสียงอู้อี้ “วันนี้ข้าผมร่วงไปกี่เส้น”
เหยียนเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ “ถ้าข้าบอกว่าห้าเส้น เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
เฉินวั่งซูขยับเท้าแสร้งทำท่าจะเตะน้ำใส่ กลับถูกเหยียนเจวี๋ยจับไว้แน่นจนขยับไม่ได้!
สวรรค์ แรงที่มีอยู่น้อยนิดเอามาใช้รับมือนางแล้วหมดแล้ว
“เจ้ามิใช่ง่วงแล้วหรือไร ประเดี๋ยวเข้านอนเร็วหน่อย ข้าจะไปอ่านหนังสือที่ข้างใน หากมีอะไร เจ้าก็เคาะผนังเรียกข้า”
“บัดนี้ท่านไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแล้ว ไยจึงไม่ไปอ่านในห้องหนังสือ ข้างในนั้นไม่มีหน้าต่าง อุดอู้ยิ่ง”
เพื่อเรื่องสอบเคอจวี่รอบพิเศษ เหยียนเจวี๋ยจึงจุดตะเกียงอ่านตำราทุกคืน แต่กลับมักจะหลบเข้าไปอ่านในห้องลับ พิลึกแท้
“ข้าเกรงว่าตอนกลางคืนเจ้าจะหวาดกลัว ข้าอยู่ข้างในนั้น พวกเราก็ยังนับว่าอยู่ในห้องเดียวกัน”
เฉินวั่งซูอ้าปาก อยากจะบอกว่ายังมีสาวใช้เฝ้ายามอยู่
ทว่าสุดท้ายก็มิได้เอ่ยถ้อยคำชวนขัดอารมณ์เยี่ยงนี้ออกมา เพียงเอนตัวลงบนเตียงอย่างว่าง่าย
พอเหยียนเจวี๋ยเข้าห้องลับไปแล้ว นางก็พลิกตัวมองผนังสีทองอร่ามนั้นพลางหัวเราะซื่อๆ ขึ้นมา
หัวเราะได้ครู่หนึ่งก็พลันตบปากตนเอง “กะป้ำกะเป๋อดีนัก กะป้ำกะเป๋อดีนัก…”
เสียงพลันดังมาจากในผนัง “ยอดดวงใจอย่าออกแรงมากไป ตัวข้าจะปวดใจเอาได้”
เฉินวั่งซูดึงผ้าห่มมาคลุมศีรษะตนเอง ขายหน้าไปถึงบ้านยายแล้ว
เหยียนเจวี๋ยที่อยู่ในห้องลับส่งเสียงหัวเราะออกมา…
เฉินวั่งซูเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองหลับไปเมื่อไร
“คุณหนู คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! รีบตื่นเร็วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
เฉินวั่งซูขยี้ตางัวเงีย ก่อนมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง “ฟ้ายังไม่สางเลย เจ้าปลุกข้าด้วยเหตุใด”
นางพูดจบก็มองเตียงด้วยอาการวิงเวียน เตียงฝั่งของเหยียนเจวี๋ยเย็นเฉียบ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กลับมานอนโดยสิ้นเชิง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อคืนฝ่าบาททรงจับกุมองค์ชายสามในงานเลี้ยงในวัง”
เฉินวั่งซูหาว “มีเรื่องจริงๆ แต่องค์ชายสามนับเป็นตัวอะไร ควรค่าให้รบกวนการนอนของข้าด้วยหรือ”
มู่จิ่นเห็นนางทำท่าจะเอนตัวลงนอนต่อก็พูดด้วยอารามร้อนใจ “คุณหนูอย่านอนต่ออีกเลย ในวังมีรถขนของเสีย คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าองค์ชายสามจะถึงกับทรงยอมลำบาก ซ่อนตัวในรถขนของเสียนั้นหนีออกมาแล้ว…บัดนี้เขาออกนอกเมืองไปแล้ว และได้เกณฑ์ทัพใหญ่มาล้อมเมืองหลินอันไว้ทุกทิศทาง นอกเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟ วุ่นวายไปทั่วทั้งเมืองแล้วเจ้าค่ะ!”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็พลันผุดลุกขึ้นนั่ง นางคว้าหน้าไม้เล็กที่วางไว้ข้างหมอนขึ้นมาก่อนสวมเสื้อผ้าอย่างว่องไว เวลานี้เหยียนเจวี๋ยที่อยู่ในห้องลับได้ยินความเคลื่อนไหวก็เดินออกมาแล้วเช่นกัน
“ราชสำนักมีแผนรับมือหรือไม่ ใครเป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการป้องกันเมือง”
มู่จิ่นเห็นเหยียนเจวี๋ยมีท่าทีเยือกเย็น ก็ใจเย็นลงอย่างอธิบายไม่ได้ “บัดนี้เป็นแม่ทัพฉินกับองค์ชายสี่กำลังป้องกันเมืองเจ้าค่ะ เป็นเพราะองค์ชายสี่ทรงส่งคนมาเรียกให้กั๋วกงน้อยไปช่วยที่หอกำแพงเมือง พวกเราถึงได้ทราบข่าว บัดนี้ด้านนอกโกลาหลวุ่นวาย กั๋วกงน้อยออกไปก็พาคนไปด้วยมากหน่อย ส่วนคุณหนูก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ถ้าเกิด…บ่าวพูดเผื่อไว้…ถ้าเกิดโจรกบฏพวกนั้นบุกเข้ามาได้ บ่าวจะคุ้มกันคุณหนูหนีออกไปเจ้าค่ะ”