ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 142-144
บทที่ 144
เสียงของเฉินวั่งซูอ่อนหวานหยาดเยิ้ม รื่นหูยิ่งยวด ไม่เข้ากับสนามรบอันคุกรุ่นนี้โดยสิ้นเชิง
องค์ชายสามได้ยินแล้วก็หน้าดำลงในชั่วพริบตา เขาหันหน้าไปมองเอ๋ารุ่ยที่เฝ้าอยู่ข้างกายเขาโดยตลอดปราดหนึ่งด้วยจิตใต้สำนึก
เอ๋ารุ่ยติดตามข้างกายเขามาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนเป็นบ่าวชายประจำตัวเขา บัดนี้กลายเป็นมือขวาของเขาแล้ว
บ้าจริง! ทัพใหญ่ใช้เวลารวมพลเท่าไร เขาก็แช่อยู่ในถังน้ำนานเท่านั้น แช่จนเปื่อยไปทั้งตัวจนเหมือนศพอืดๆ ในแม่น้ำแล้วกว่าจะได้ออกมา
แล้วนี่เขาก็ไม่เหม็นแล้ว
แต่ไหนเลยจะคิดถึงว่าพอเขาหันหน้าไป เอ๋ารุ่ยถึงกับกลั้นหายใจไว้ทันที หน้าแดงเถือก ท่าทางเหมือนบอกว่าขอร้องท่านแล้ว อย่ามองข้า หากยังไม่เลิกมองข้าจะอาเจียนแล้วจริงๆ
น่าอัปยศอดสู! องค์ชายสามหัวร้อนขึ้นมา จึงยิงธนูใส่เฉินวั่งซูอย่างปราศจากความเกรงใจ
เฉินวั่งซูหัวเราะเหอะๆ ไม่ลนลานแต่อย่างใด ถือหอกยาวที่เมื่อครู่แย่งมาจากมือของทหารที่ด้านข้างไว้ โยนถุงหอมในมือขึ้นก่อนจะเงื้อมือหวดมันใส่องค์ชายสามอย่างแรง
เมื่อครู่นี้เจ้าหนูสี่เตือนนางแล้ว นางไม่เป็นวรยุทธ์ก็ไม่เป็นไร นอกจากหน้าไม้เล็ก นางยังตีคลีเป็นด้วย อาวุธของผู้อื่นคือก้อนอิฐ ฟาดใส่ทีละคน ใช้การโจมตีระยะใกล้!
ส่วนนางใช้การโจมตีระยะไกล หวดใส่ทีละคน! ถ้านี่อยู่ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องแข่งได้ผลเสมอกับยูคิมูระกัปตันทีมสาธิตริคไค* แน่นอน!
ส่วนลูกธนูนั้น เฉินวั่งซูไม่แม้แต่จะหลบ ข้างกายนางยังมีเหยียนเจวี๋ยยืนอยู่!
บัดนี้เหยียนเจวี๋ยมิใช่กระสอบทรายเหมือนที่ริมทะเลสาบซีหูในตอนโน้นแล้ว! หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นหากทำเท่จนชีวิตหาไม่ นั่นก็ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!
เฉินวั่งซูกำลังสวดภาวนาในใจ แต่ครั้นหันหน้าไปมองก็เปลี่ยนเป็นเบิกบานใจแทนแล้ว
มองเห็นเพียงเหยียนเจวี๋ยยืนอยู่เบื้องหน้านาง สายลมพัดแถบผูกผมและเสื้อคลุมของเขาปลิวขึ้น เขาสวมเกราะแดง ยืนอยู่ตรงนั้นก็ดูราวกับเป็นฉีเทียนต้าเซิ่งซุนอู้คง!
ที่ดูดียิ่งกว่าคือเหยียนเจวี๋ยชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว คีบลูกธนูที่ยิงมาใส่เฉินวั่งซูดอกนั้นไว้อย่างมั่นคง
เขาออกแรงเบาๆ ลูกธนูนั้นก็หักเป็นสองท่อน
เหยียนเจวี๋ยเป่าฝุ่นที่ไม่ได้ติดอยู่บนมือ ก่อนเลิกคิ้วเอ่ยออกมาเบาๆ สองคำ “แค่นี้?”
เฉินวั่งซูสองตาแวววาว ใต้หล้านี้ถึงกับมีคนที่เสแสร้งเก่งเหมือนนางอยู่ด้วย
กองทัพต้าเฉินส่งเสียงไชโยโห่ร้อง จู่ๆ พวกเขาต้องลุกออกมาจากในโปงผ้าห่มแล้วได้รู้เรื่องทัพใหญ่ล้อมเมือง ในใจก็ท้อไปครึ่งหนึ่งแล้ว! แต่ครั้นได้เห็นเหยียนเจวี๋ยสำแดงฝีมือราวกับเทพนี้ออกมาก็ถึงกับโล่งใจเลยทีเดียว!
ดีเหลือเกิน ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีเจ้าตัวโง่งมอย่างเหยียนเจวี๋ยคอยค้ำอยู่หน้าขบวน!
องค์ชายสี่กล่าวได้มิผิด เวลาปกติคุณชายเหยียนเป็นเหมือนไข่เน่าแต่พอเขาเข้าสนามรบจริงๆ ก็กลายเป็นไข่ทองคำ
เหยียนเจวี๋ยได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องที่ด้านหลังแล้วก็โล่งใจ หวิดไปแล้ว! เมื่อครู่นี้เป็นเกมวัดใจชัดๆ ถ้าเกิดเขาคีบไม่อยู่ เฉินวั่งซูก็คงได้ถีบเขาลงจากหอกำแพงเมืองพอดีน่ะสิ!
ทางด้านนี้พากันไชโยโห่ร้อง ทางด้านองค์ชายสามมองเห็นวัตถุอย่างหนึ่งลอยมาก็ตวัดกระบี่ฟันอย่างฉุนเฉียว
ถุงหอมใบใหญ่ใบนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างเรียบร้อยหมดจด ผงหอมในถุงแตกโพละสาดกระจายออกมาทั้งหมด
องค์ชายสามที่กำลังแหงนหน้ามองยกมือปิดตาตนเองไว้ทันที แต่ยังคงช้าเกินไป บรรดาคนสองสามแถวที่อยู่ด้านหน้าต่างตาพร่ามัว เริ่มเกิดความสับสนขึ้นมา
ผู้ที่น่าสังเวชที่สุดคือเอ๋ารุ่ยผู้นั้น เขาจามเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น!
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็มองเขาปราดหนึ่งด้วยความเห็นใจ มิน่าผู้อื่นไม่รู้สึกเหม็น มีแต่เขาที่มีท่าทางยากจะทานทน จมูกเจ้าหมอนี่ไวยิ่งกว่าจมูกสุนัขเสียอีก! ยามนี้จะต้องกำลังได้กลิ่นทั้งหอมทั้งเหม็น…
นางยังไม่ทันคิดจบ เอ๋ารุ่ยก็กลิ้งตัวลงจากม้าไปนั่งอาเจียนยกใหญ่อยู่บนพื้นแล้ว
เวลานี้นี่ล่ะ! เฉินวั่งซูสบตากับเหยียนเจวี๋ย
เหยียนเจวี๋ยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโดดลงจากหอกำแพงเมือง
ทางด้านเฉินวั่งซูก็เม้มปากพลางหันไปมองมู่จิ่น “ตระเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
มู่จิ่นพยักหน้ากล่าว “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู ร้านค้าของพวกเราอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ข้าบอกให้คนงานส่งมาอย่างไม่ขาดสายแล้ว”
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปาก มองไปยังองค์ชายสี่ “พร้อมจะทำศึกนองเลือดถึงที่สุดแล้วหรือยังเพคะ”
องค์ชายสี่ยังไม่ได้สติกลับมาจากความตกตะลึง เขามองแขนขาเล็กๆ ของเฉินวั่งซู “นี่เจ้ากำลังทำเป็นเรื่องเด็กเล่น! รีบเรียกเหยียนเจวี๋ยกลับมา ถ้าเกิดเขาถูกคนจับตัวไว้ ข้าก็ต้องไปช่วยเขาอีก มิหนำซ้ำเจ้ามิใช่มาเกลี้ยกล่อมให้คนยอมจำนนหรือไร”
ยังไม่ได้เกลี้ยกล่อมแม้แต่คำเดียว มุทะลุยิ่งกว่าเขาเสียอีก พอมาถึงก็เปิดศึกทันที
เคราะห์ยังดีที่เฉินวั่งซูไม่มีวรยุทธ์ มิเช่นนั้นนางคงได้บุกตะลุยไปถึงอีกฝั่งทะเลเป็นแน่
เขายังพูดไม่ทันจบ ปากก็หุบไม่ลงแล้ว
มองเห็นเพียงเฉินวั่งซูรับห่อกระดาษห่อหนึ่งมาจากมู่จิ่นที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นห่อกระดาษก็ถูกหวดลอยออกไปตกลงตรงกลางทัพกบฏอย่างแม่นยำ ไม่ว่าอย่างไรก็มักจะมีพวกมือบอนยกมือเอาหอกแทง ห่อกระดาษถูกกรีดออก คนโดยรอบล้วนยกมือปิดตา เริ่มส่งเสียงร้องครวญคราง
“รีบยิงธนู คุ้มกันเหยียนเจวี๋ย!” พอเฉินวั่งซูเอ่ยปากก็ค้นพบว่าคนที่ด้านข้างเองได้พูดคำเดียวกันกับนางเช่นกัน
นางหันหน้าไปมอง แม่ทัพฉินบิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์พยักหน้าให้นางน้อยๆ
ความสนใจของคนทั้งหมดล้วนมุ่งไปที่เหยียนเจวี๋ย
แม้แต่เฉินวั่งซูก็ยังลุ้นแทนเหยียนเจวี๋ยแล้ว! แม้แต่เฉียวเฟิง* ก็ยังไม่มีความมั่นใจพอจะบอกว่าตนเองสามารถเด็ดศีรษะศัตรูท่ามกลางกองทัพเรือนหมื่นได้อย่างแน่นอน…ไม่ว่าเรื่องใดล้วนแต่ไม่แน่นอน ถ้าเกิดเหยียนเจวี๋ยถูกจับตัวไว้…
เช่นนั้นการใหญ่ที่ก่อนหน้านี้พวกนางหารือกันเรียบร้อยว่าจะทำก็ทำไม่ได้แล้ว! ถึงเวลานั้นควรจะคว้าชัยชนะอย่างไรดี! เฉินวั่งซูใช้หอกหวดห่อกระดาษไปยังทิศทางที่ต่างกัน ระหว่างนั้นในสมองก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว
นางผู้นี้ทำอะไรมักมีแผนสำรองเสมอ
มองเห็นเพียงเหยียนเจวี๋ยกระโดดลอยลงไป ร่อนตรงไปหาหัวขององค์ชายสามราวกับเป็นอินทรียักษ์ ลูกธนูนับไม่ถ้วนลอยมาหาเขา แทบจะยิงให้เขากลายเป็นเม่นตัวหนึ่ง
ทว่าคนทั้งหมดล้วนประเมินความเร็วของเขาต่ำไป เขาแทบจะเป็นเหมือนภูตผี พริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าม้าขององค์ชายสาม
ไม่แม้แต่จะโอภาปราศรัยสักคำ กระบี่นั้นก็แทงเข้าหาลำคอขององค์ชายสามทันที
องค์ชายของแคว้นต้าเฉิน นอกจากองค์ชายสี่แล้วล้วนแต่เอาดีด้านบุ๋น ผอมแห้งแรงน้อยมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ไม่มีรากฐานด้านการฝึกวรยุทธ์ องค์ชายสามที่นับว่าดีเด่นจากองค์ชายคนอื่นๆ ก็ยังมีวรยุทธ์ธรรมดาๆ เช่นกัน
ก่อนหน้านี้มีทหารห้อมล้อม ย่อมมีความมั่นใจที่จะยิงธนูดอกนั้น แต่บัดนี้เหยียนเจวี๋ยบุกมาถึงตรงหน้าแล้ว อีกทั้งเขาก็ถูกผงหอมโปะไปทั้งหน้า จึงยิ่งนิ่งอึ้งเป็นไก่ไม้ ขณะที่คนทั้งหลายคิดว่าโจมตีประสบผลอยู่นี้เอง เอ๋ารุ่ยที่อาเจียนอยู่ด้านข้างก็ยกเท้ายันองค์ชายสามลงจากหลังม้า ก่อนชูกระบี่ยาวฝืนต้านทานเหยียนเจวี๋ย
เหยียนเจวี๋ยเปล่งเสียงก่อนออกแรง กระบี่ยาวในมือเอ๋ารุ่ยก็ถึงกับถูกเขาฟันขาดเป็นสองท่อน จากนั้นเขาก็งัดกระบี่ขึ้น แทงเข้าหาส่วนศีรษะของเอ๋ารุ่ย เอ๋ารุ่ยตกใจอย่างหนัก ย่อตัวลง รู้สึกเพียงว่าหนังศีรษะชา
ยกมือขึ้นคลำ หวิดจะสิ้นสติ เหยียนเจวี๋ยผู้นี้เกรงว่าคงจะเป็นโคถึกมาเกิด เสือกกระบี่มาทีเดียวก็ถึงกับเฉือนหมวกเกราะตลอดจนเส้นผมบนศีรษะเขาขาดทั้งหมด
เวลานี้องค์ชายสามใจเย็นลงแล้ว เขาพลิกตัวขึ้นหลังม้า คิดจะล่าถอยไปอีกด้านด้วยการคุ้มกันจากคนทั้งหลาย
หากแต่เหยียนเจวี๋ยมีหรือจะให้โอกาสนี้แก่เขา หมุนตัวทะยาน เท้าเหยียบหัวม้าเบาๆ แทงกระบี่เข้าใส่องค์ชายสามอีกครั้ง!
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนสิงหาคม 66)