เฉินวั่งซูนอนอยู่บนตั่งเล็กริมหน้าต่าง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ปากเคี้ยวรากกล้วยไม้ มือถือหนังสือนิยายเล่มหนึ่ง กำลังอ่านอย่างออกรสออกชาติ ด้วยเกรงผู้อื่นมาเห็นแล้วจะไม่ดี นางยังจงใจเปลี่ยนปกหนังสืออีกด้วย มองดูแวบแรกจะเห็นคำว่า ‘จั่วจ้วน’ ตัวเขื่อง
ข้างขานางมีแมวสามสีตัวกลมปุ๊กนอนอยู่ตัวหนึ่ง กำลังกรนครอกๆ หลับสนิทอยู่
มู่จิ่นที่อยู่ด้านข้างทำท่าจะพูดบางอย่างอยู่หลายที เฉินวั่งซูถึงค่อยถูกเสียงกลืนน้ำลายของอีกฝ่ายเรียกสติออกมาจากในหนังสือ
“เจ้าคงมิใช่อยากกินเนื้อกระมัง มองแมวตัวหนึ่งแล้วยังกลืนน้ำลายได้” เฉินวั่งซูพูดพลางพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยัดแมวใส่อ้อมแขนมู่จิ่น “ล้อเจ้าเล่น มีอะไรอยากพูดก็พูดมาเถอะ”
มู่จิ่นมองดูรอบๆ ในที่สุดก็พูดขึ้นอย่างสุดจะกลั้น “คุณหนู โลกนี้มิมีกำแพงใดไม่มีหู เรื่องในวันนี้เกรงว่าคงจะลือออกไปในไม่ช้าแล้ว องค์ชายเจ็ดทรงกระทำเช่นนี้ คุณหนูคงต้องขายหน้าสิ้นแล้ว ไยท่านยังไม่ร้อนใจอีกเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูเคี้ยวรากกล้วยไม้อีกราก เบิกตาโต แล้วชี้หน้าตนเอง “ข้าคุณหนูรองเฉินเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไฉนคนหน้าไม่อายเหล่านั้นไม่ขายหน้า กลับเป็นข้าขายหน้าแทนเสียแล้วเล่า เจ้าคิดได้อย่างไรกัน”
มู่จิ่นชะงักงันไป ไม่ ท่านไม่ได้บริสุทธิ์ มือเท้าก็มิได้ผุดผ่อง ท่านจุดควันยาสลบ อีกทั้งยังยัดคนเข้าใต้เตียงอีกด้วย!
“บ่าวก็มิได้เป็นห่วงเรื่องนี้เจ้าค่ะ เพียงแต่หงไถผู้นั้นเรียกคุณหนูไปที่หอเหวินเซียง ต่อให้ตลอดทางไม่มีใครเห็น แต่นางก็รู้ว่าพวกเราเข้าไปในบริเวณนั้น หากองค์ชายเจ็ดทรงสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาก็สาวมาถึงตัวคุณหนูได้ง่ายยิ่ง ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูหรี่ตา ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีแดงสดผืนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ “ข้าจะไปจุดควันยาสลบได้อย่างไร เจ้าเห็นว่าคุณหนูของเจ้าอย่างข้าโง่ขนาดสวมเขาให้ตนเอง ซ้ำยังชอบอวดให้คนทั้งหลายดูหรือไร ทั่วทั้งเมืองมีเพียงข้าที่บริสุทธิ์ที่สุด ไม่รู้เรื่องราวอันใดที่สุดแล้ว”
มู่จิ่นมองดวงตาโตที่กะพริบปริบๆ ของเฉินวั่งซู ก่อนมองผ้าเช็ดหน้าที่หงไถให้นางมาเช็ดมือผืนนั้น…“คุณหนูฉลาดล้ำปานเทพเซียน!”
เฉินวั่งซูหัวเราะ “ฮ่าๆ ชมอีก!”
มู่จิ่นงันไปเล็กน้อยก่อนชมต่ออีกว่า “มือกุมชะตากรรมฟ้าดิน…”
เฉินวั่งซูหุบยิ้มฉับ ฉวยเจ้าแมวมา ก่อนจะนั่งลงบนตั่งเล็กอย่างรวดเร็ว พิงเสาพลางลูบแมวด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
สีหน้าของนางเปลี่ยนไวจนคนต้องทึ่งเลยทีเดียว
มู่จิ่นยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู
“น้องหญิงรองวันนี้ได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว!”
มู่จิ่นหันหน้ากลับไปก็เห็นพระชายาองค์ชายสามนำบ่าวไพร่กรูเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจ
เฉินวั่งซูอุ้มแมวลุกขึ้นยืน ทำความเคารพด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พระชายาองค์ชายสามเสด็จมาได้อย่างไรเพคะ งานเลี้ยงนั้นเลิกเร็วปานนี้? คุณชายเหยียนเลือกสตรีนางใด”
พระชายาองค์ชายสามจมูกแดงก่ำ เอื้อมมาจับมือเฉินวั่งซูไว้ “ดูเจ้าพูดเข้าสิ ทางสกุลเหยียนยังจะมีแก่ใจจัดงานเลี้ยงเลือกหญิงคนใดได้อีกหรือ”
นางพูดพลางโบกมือ เหล่าบ่าวไพร่ก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นมู่จิ่นไม่ขยับ ยังยืนทื่ออยู่ตรงนั้นเหมือนท่อนไม้นางก็ขมวดคิ้ว แต่ที่สุดแล้วก็มิได้ไล่อีกฝ่ายออกไป
“วันนี้น้องหญิงรองได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว เรื่องวันนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก เจ้ากับข้ามาจากตระกูลเดียวกัน อีกทั้งพี่สาวก็โตกว่าเจ้าไม่กี่ปี มีความในใจบางอย่างจะต้องพูดกับเจ้าให้ได้ องค์ชายเจ็ดทรงมีอุปนิสัยซื่อตรง นี่เป็นเรื่องที่ประจักษ์กันถ้วนทั่ว เรื่องในวันนี้จะต้องมีเลศนัยเป็นแน่แท้ ข้าช่วยสืบให้เจ้าแล้ว หลิ่วอิงผู้นั้นกับองค์ชายเจ็ดเป็นสหายวัยเยาว์กันจริงๆ เรื่องที่แม่ของนางป่วยก็เป็นความจริงเช่นกัน แต่แม้องค์ชายเจ็ดจะมีพระทัยให้นาง รับเข้าจวนเป็นอนุ แต่จะนับเป็นอะไรได้ ยังสู้หมาแมวไม่ได้ด้วยซ้ำไป เจ้าดูอย่างพี่เขยของเจ้าสิ มิใช่มีอนุหลายคนเช่นกันหรือไร แต่ข้าเป็นพระชายาเอก ยังคงเป็นผู้ที่เขาให้ความสำคัญที่สุดอยู่ดี จะยุ่งยากก็ที่เกามู่เฉิงผู้นั้น เรื่องนี้หากโจษจันออกไป ถึงเกามู่เฉิงผู้นั้นไม่อยากแต่งกับองค์ชายเจ็ดก็ต้องแต่งแล้ว ถึงเวลานั้นน้องหญิงรองจะวางตัวไว้ตรงที่ใด”