เฉินวั่งซูลูบคางตนเอง เดิมทีนางคิดจะนั่งกำสรวลกับดวงจันทร์ แต่งกลอนสักบทแด่ความทุกข์ พร้อมกับหวนรำลึกเรื่องราวอันน่าเศร้าสังเวชในชีวิตก่อน
ทว่าคิดไปคิดมาไม่รู้ว่าเป็นเพราะความลำเค็ญจางหายไปแล้วจึงทำให้นางจำไม่ค่อยได้แล้ว หรือว่าเป็นเพราะการร่ำรวยจากการต้องย้ายบ้านเป็นความสุขล้นเกินไป ทำให้นางถึงกับนึกไม่ออกว่าอะไรควรค่าให้ทุกข์ระทม
สิ่งเดียวที่ชวนให้เศร้าใจคือกว่านางจะได้เป็นราชินีจอเงิน สามารถร่วมแสดงกับจ้าวเหยาได้ จ้าวเหยาก็แสดงได้แค่บทพ่อของนางแล้ว
ครั้นคิดได้เช่นนี้กลอนก็พรูออกมาจากปากนาง “ท่านเกิด ข้ายังไม่เกิด ข้าเกิด ท่านชราแล้ว…”
เฉินวั่งซูยังร่ายกลอนไม่ทันจบมู่จิ่นที่จัดห้องอยู่ด้านในก็เดินมาหา “ไฉนคุณหนูจึงเอ่ยกลอนนี้ขึ้นมาเล่าเจ้าคะ มันเป็นของชนรุ่นก่อนหรือ ช่างธรรมดายิ่งนัก เทียบกับที่นายท่านผู้เฒ่าของพวกเราเขียนไม่ติดเลย”
มู่จิ่นพูดพลางชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสริมอีกว่า “จะว่าไปท่านผู้นั้นจากไปเสียก็มีข้อดี คุณหนูของข้าจึงได้มีอิสรเสรีเช่นนี้”
เฉินวั่งซูได้ยินก็หัวเราะพรืดออกมาพลางตีมู่จิ่นอย่างแรง “หากข้าแต่งกลอนสู้เจ้าก็ยังไม่ได้ เช่นนั้นก็ตายไปเสียดีกว่า”
นางพูดพลางหมุนตัวผละจากหน้าต่าง หาวทีหนึ่ง ก่อนเดินไปที่เตียง
มู่จิ่นเกาศีรษะพลางมองไป๋ฉือปราดหนึ่ง ก่อนอ้าปากถามโดยไม่เปล่งเสียงว่า ‘คุณหนูหัวเราะอะไร’
ไป๋ฉือกระตุกมุมปากพลางเอ่ยกระซิบเสียงเบาว่า “ดึกแล้ว คุณหนูจะนอนแล้ว วันนี้ชนะได้เงินมามาก ไม่หัวเราะจะให้ร้องไห้หรือ เจ้าไปพักเถอะ วันนี้ข้าจะอยู่เวรเฝ้าคุณหนูเอง”
ครั้นนางพูดจบและเดินเข้าไปเฉินวั่งซูก็นอนหลับอยู่บนเตียงแล้ว
หมอนกระเบื้องเคลือบ* ที่สูงมากถูกนางเตะไปไว้ปลายเท้า แล้วคว้าหมอนนุ่มใบหนึ่งมาหนุนแทน ผ้าห่มเลื่อนตกอยู่ข้างๆ
ไป๋ฉือขมวดคิ้ว ห่มผ้าให้นางเสร็จก็ดับตะเกียง
ผ่านไปเช่นนี้จนถึงวันที่สาม เฉินวั่งซูเล่นไพ่นกกระจอกก็กลายเป็นแพ้มากกว่าชนะแล้ว
“นางเด็กผู้นี้จะตระหนี่เกินไปหน่อยแล้ว มีของดีเช่นนี้กลับไม่ยอมใช้วัสดุดีๆ มาทำ หินผุๆ นี้เล่นไม่กี่วันก็แตกแล้ว” หลี่ซื่อกล่าวพลางบอกให้คนเปลี่ยนเป็นไพ่ไม้ที่นางสั่งทำใหม่แทน
เฉินวั่งซูหยิบมาเขย่าในมือ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้ไม้อะไรทำถึงได้น้ำหนักกำลังดี ช่างที่ทำดูใส่ใจเป็นพิเศษ ขัดจนเกลี้ยงเกลายิ่งยวด ไม่เห็นเสี้ยนแม้แต่นิดเดียว
เฉินวั่งซูประสานมือคารวะหลี่ซื่อ “ข้าเพียงแต่ค้นหาของเล่นแปลกใหม่ออกมาจากในตำราโบราณ แล้วลองสั่งให้ช่างศิลาทำดู แค่นั้นยังต้องใช้เวลาทำหนึ่งวันเต็มๆ ทว่าของท่านแม่นี้ดียิ่ง วันหน้าสามารถเป็นสมบัติตกทอดได้เลยเจ้าค่ะ”
นางพูดพลางวางไพ่ไม้กลับไป ก่อนจะคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเต็มพิธี “ท่านย่า ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินพยักหน้า “อุตส่าห์เข้าวังทั้งที วั่งซูไปด้วยกันกับย่าแล้วกัน จะได้ให้เจ้าได้เห็นด้วยว่าสิ่งที่เจ้าโยนทิ้งไปนั้นมั่งคั่งอลังการเพียงไร วันหน้าจะได้ไม่นึกเสียใจภายหลัง”
เฉินวั่งซูอึ้งงันไป ก่อนที่ในใจจะนึกลิงโลดขึ้นมา
แม้นางจะเคยแสดงบทฮองเฮาและสนมคนโปรดมาไม่น้อย แต่การเข้า ‘วังหลวงของจริง’ นี้นับเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณท่านย่ามากเจ้าค่ะ ความมั่งคั่งอลังการหลานหาเองได้ มีหรือจะนึกเสียใจภายหลัง”
สองย่าหลานกลับเรือนแล้วฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็แต่งองค์ทรงเครื่องตามบรรดาศักดิ์ เฉินวั่งซูยังมิมีบรรดาศักดิ์ใด จึงเพียงเลือกชุดตัวใหม่ที่ดูเรียบร้อย ชำระร่างกาย จุดธูปไหว้พระ แล้วให้หลี่ซื่อตรวจดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อไม่พบเห็นจุดใดไม่เหมาะสมถึงค่อยตามฮูหยินผู้เฒ่าเฉินขึ้นรถม้าเดินทางไปวังหลวง
เมืองหลินอันในวสันตฤดูเริ่มร้อนขึ้นแล้ว หัวถนนท้ายตรอกยังคงคึกคักไม่ธรรมดา ซ้ำยังได้ยินคนซุบซิบนินทาเรื่ององค์ชายเจ็ดได้แว่วๆ
เฉินวั่งซูหูตั้ง แทบอยากพุ่งตัวลงจากรถม้าไปฟังเองกับหูว่าคนเหล่านั้นใส่สีตีไข่ แต่งเรื่องนี้ให้กลายเป็นตำนานเมืองหลวงกันอย่างไร แม้นางจะได้ยินมู่จิ่นเล่าหลายรอบแล้วก็ตามที
เมื่อวานบอกว่าเกามู่เฉิงคลอดบุตรชายนามว่าเยาเอ๋อร์ให้องค์ชายเจ็ดตั้งนานแล้ว เช่นนั้นมาถึงวันนี้เยาเอ๋อร์ผู้นั้นก็น่าจะลอบมีหลานให้องค์ชายเจ็ดด้วยอีกคนแล้วกระมัง…
รถม้าแล่นอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเข้าวังหลวงของแคว้นต้าเฉินได้
ครั้นเข้าประตูมาเสียงจอแจทั้งหมดก็คล้ายว่าถูกสกัดไว้นอกประตูแทบจะทันที ทำให้คนจิตใจครั่นคร้าม อดจะเคร่งขรึมนิ่งเงียบขึ้นมาไม่ได้
เฉินวั่งซูสูดหายใจลึก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ตบหลังมือนางเบาๆ “ร้อนตัวกลัวขึ้นมาแล้วรึ”
เฉินวั่งซูส่ายหน้า “หลานมิมีความผิด จะกลัวไปไยเจ้าคะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.