ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 189-191 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 189-191

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 189

กว่าหิมะจะตกในเมืองหลินอันอีกคราก็เป็นคืนงานเลี้ยงเทศกาลปีใหม่ในวังหลวง

“ไยท่านจึงสวมใส่เสื้อผ้าหนาถึงเพียงนี้ หรือว่ามีครรภ์แล้ว แม่ทัพน้อยนั่นดูแล้วใช้การไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นลูกผู้ใดกันล่ะ”

จอกสุราที่เฉินวั่งซูถืออยู่เกิดสั่น สุราบ๊วยอุ่นๆ ข้างในกระฉอกลงบนโต๊ะ นางเช็ดมือก่อนผินหน้าไปมองเหยียนเจวี๋ย แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เคราะห์ดีที่องค์ชายสี่ลากเขาไปดื่มสุราและสนทนากันอยู่อีกด้านหนึ่งนานแล้ว

“ไม่สวมใส่หนาเพียงนี้จะให้สวมผ้าบางๆ แล้วหนาวจนปากม่วงเหมือนท่านผู้นั้นหรือ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ต้องใช้ความงามเอาใจใครเสียหน่อย”

ฉินเจ่าเอ๋อร์ยกจอกสุราขึ้นมาชนกับเฉินวั่งซูพลางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ไม่ได้พบกันไม่กี่วัน ไยท่านจึงกลายเป็นคนใจจืดใจดำเสียแล้ว ทว่าข้าชอบนะ บอกท่านไปตั้งนานแล้วมิใช่หรือว่าเรื่องกุลสตรีพิลึกพิลั่นอะไรนั่นเป็นแค่การทำให้ตนเองอึดอัดคับข้องใจเปล่าๆ ผู้อื่นชมเจ้าหมื่นคำก็ยังสู้การที่ตนเองมีอิสรเสรีมีความสุขหนึ่งวันไม่ได้”

ฉินเจ่าเอ๋อร์พูดพลางมองไปทางองค์ชายเจ็ด “อย่างนางน่ะหรือใช้ความงามเอาใจคน ความงามอยู่ตรงที่ใดกัน กลับเป็นบนหน้าองค์ชายเจ็ดต่างหากที่เขียนไว้ว่าตนเองเป็นพวกงามหน้า”

เฉินวั่งซูเม้มปาก ไม่ไปสนว่าฉินเจ่าเอ๋อร์จะหลอกล่อเยี่ยงไร นางยังคงเป็นยอดกุลสตรีอันดับหนึ่งในเมืองหลินอัน การยิ้มไม่เห็นฟันแปดซี่ถือเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐาน*

กล่าวถึงเรื่องวันนั้นที่เกามู่เฉิงอาละวาดอย่างหนักในตำหนักจินหลวน แตกหักกับผู้เป็นปู่ในที่นั้น จัดการลงโทษญาติพี่น้อง ปกป้องความเป็นธรรม เปิดโปงเรื่ององค์ชายสามวางแผนกบฏออกมา ตระกูลใหญ่ตระกูลใดเห็นแล้วไม่เอ่ยปากว่านางเป็นหญิงวิปลาสบ้าง

เรื่องนี้หากอยู่ในช่วงเวลาแห่งสันติสุขจะต้องเป็นเรื่องให้พูดถึงได้นานสามเดือน ทว่าครั้นการศึกปะทุขึ้น องค์ชายสามกรีธาทัพใหญ่ล้อมเมือง จะยังมีผู้ใดจดจำได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเกามู่เฉิงอีก

พี่ชายไม่รักดีผู้นั้นของนางหัวหลุดจากบ่า สกุลเกาพลอยเดือดร้อนเพราะเรื่องขององค์ชายสาม ถึงแม้อัครมหาเสนาบดีเกาจะปราดเปรื่อง ไม่รู้ใส่ยาใดให้ฮ่องเต้กินจึงรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ ทั้งสกุลเกาไม่ถึงขั้นล้มครืน แต่ที่สุดแล้วก็ขาดแรงสนับสนุนจากต้าเกาซื่อไป ภาพรวมยังคงเสียหายหนัก

เกามู่เฉิงอกตัญญูต่อผู้เป็นปู่ ไหนเลยจะยังอยู่ในสกุลเกาต่อได้ หลังจากนั้นไม่นานสกุลเกาก็แยกกันเป็นสองบ้านเหมือนกับสกุลเฉินอย่างเงียบๆ กลายเป็นจวนตะวันตกและจวนตะวันออก

จวนตะวันออกมีอัครมหาเสนาบดีเกาควบคุมดูแล คนส่วนใหญ่อยู่ทางฝั่งนี้ เปลี่ยนมาสนับสนุนเสี่ยวเกาซื่อกับองค์ชายแปด จวนตะวันตกอ่อนแอ มีบิดาของเกามู่เฉิงเป็นเจ้าบ้าน สมาชิกล้วนเป็นญาติพี่น้องที่ยังเหลืออยู่ของต้าเกาซื่อ

หลายวันก่อนองค์ชายเจ็ดไปส่งศพพี่ชายเกามู่เฉิงเป็นเพื่อนนาง ต่อจากนั้นก็ไปพักฟื้นรักษาอาการป่วยยังหมู่บ้านที่มีบ่อน้ำพุร้อนกับนาง สิ้นปีถึงได้รุดกลับมา

เกามู่เฉิงสวมกระโปรงยาวสีบัวขาบ ตรงอกห้อยสร้อยประคำสิบแปดเม็ดไว้เส้นหนึ่ง ด้านล่างสร้อยมีจี้หยกสีเขียวมรกตอยู่หนึ่งชิ้นซึ่งห้อยพู่สีเดียวกัน ไหนเลยจะยังมีสภาพงามเพริศแพร้วเพชรนิลจินดาเต็มตัวเหลืออยู่อีก

เวลาผ่านมาเพียงไม่นาน ทว่าทั้งตัวคนกลับผอมซูบ กลายเป็นคนเย็นชา แฝงด้วยกลิ่นอายโหดร้าย

หลิ่วอิงนั่งอยู่ข้างกายเกามู่เฉิง นางสวมชุดบางสีชมพูดอกไห่ถังแสนฉูดฉาด กุ๊นขอบด้วยขนสัตว์สีขาว สีหน้าปลื้มปีติ หน้าท้องนางนูนป่องราวกับแค่ขยับเพียงนิดก็จะดันโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าให้เคลื่อนได้

ผู้ที่รู้เรื่องจะบอกว่านางตั้งครรภ์ แต่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอาจหลงนึกว่ามีกระสุนปืนใหญ่อยู่ข้างหน้านาง…ใหญ่กระทั่งนางแทบแบกไม่ไหว

องค์ชายเจ็ดที่เดิมควรนั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรักษาความปรองดองระหว่างภรรยากับอนุยามนี้กำลังยกจอกสุราคารวะฮ่องเต้ ครั้นคึกคักมากเข้าก็ยังทำท่าเหมือนเต่าว่ายน้ำอีกสองครั้ง สร้างความรื่นเริงแด่บุพการี

เกามู่เฉิงไม่ได้ฝืนทำตัวเรียบร้อยแต่อย่างใด หลิ่วอิงเองก็มีท่าทางผ่อนคลาย ราวกับว่านางต่างหากที่เป็นพระชายาองค์ชายเจ็ด

เฉินวั่งซูเห็นแล้วยังอยากจะยกนิ้วหัวแม่มือให้พวกเขาทั้งครอบครัวจากใจจริง หรือนี่ก็คือรัศมีของพระเอกนางเอก ไม่ว่ากฎเกณฑ์อะไรพออยู่ต่อหน้ารักแท้ของพวกเขาก็ล้วนไม่เรียกว่ากฎเกณฑ์!

ฉินเจ่าเอ๋อร์เห็นเฉินวั่งซูดูอย่างเพลิดเพลินก็กินน่องไก่ไปครึ่งหนึ่งก่อนวางลงแล้วเช็ดมือ “เจ้าไม่ต้องมองแล้ว หากยังมองอีกเกามู่เฉิงคงได้ปรี่มาหาแน่”

ครั้นนางพูดจบเกามู่เฉิงก็ลุกพรวดยืนขึ้นทันที หลิ่วอิงแววตาวูบไหว ดึงแขนเสื้อเกามู่เฉิงไว้ ก่อนจะขยับท้องอย่างยากลำบาก “พี่หญิงจะออกไปปลดทุกข์หรือ ข้าอยากขอไปด้วย”

เกามู่เฉิงสะบัดแขนเสื้อก่อนแค่นเสียงเอ่ย “ข้านั่งกับเจ้าก็เหมือนนั่งอยู่ในห้องปลดทุกข์แล้ว เหม็นเกินทน จะออกไปรับลมก็ยังไม่ได้รึ!”

ผู้ที่มาในวันนี้ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง หลักๆ ก็มีเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดคนที่เหลืออยู่ รวมถึงนางปีศาจน้อยที่พวกเขาแต่งงานด้วย และยังมีองค์หญิงที่ปราศจากตัวตนอีกสองสามคนกับพวกราชบุตรเขตที่เอาแต่ทำตัวพินอบพิเทาแทบจะเอาหน้าฝังลงดิน

ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงล้วนนั่งอยู่ใกล้กันเป็นพิเศษ

เมื่อเกามู่เฉิงพูดออกมาเยี่ยงนี้ทั้งตำหนักใหญ่ก็เงียบกริบในชั่วพริบตา ก่อนจะกลับมาครื้นเครงได้แทบจะในทันที

หลิ่วอิงหน้าแดงเถือก นางลูบหน้าท้องตนเอง ทำท่าทางตรงตามแบบพวกดอกไม้ขาวออกมา นั่นคือตาแดง ก้มหน้า และกัดริมฝีปาก

เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็นึกขัน นี่กำลังหว่านเสน่ห์ให้คนตาบอดดูชัดๆ ไม่เห็นหรือว่าเจียงเยี่ยเฉินกำลังกระโดดโหยงเหยงอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เหมือนนกยูงรำแพน เหลือแค่จับหัวคนทั้งหลายให้หันไปมองแล้วบอกว่า ‘ดูทางนี้ หันมาดูทางนี้สิ อย่าได้ไปดูศึกหลังบ้านของข้าเลย’

“ข้านึกเสียใจแล้ว เมื่อแรกหากข้าไม่แย่งชิงกับเจ้าก็คงดี” เกามู่เฉิงเดินมานั่งลงข้างเฉินวั่งซูโดยไม่บอกไม่กล่าว ยกสุรามารินให้ตนเอง ก่อนพึมพำเสียงเบา

เฉินวั่งซูหรี่ตาพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาบังปาก “พระชายาองค์ชายเจ็ดทรงเมาแล้ว สั่งให้มามานำชาแก้เมามาให้จะดีกว่าเพคะ”

เกามู่เฉิงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เมา” นางกล่าวต่อว่า “ข้ายังคงชอบพี่เยี่ยเฉินมาก เสียดายที่เขาไม่ชอบข้า”

นางพูดพลางมองหน้าท้องโตๆ ของหลิ่วอิงปราดหนึ่ง ก่อนจะดื่มสุราในจอกรวดเดียวจนเกลี้ยง

“เขาไม่ชอบพระชายาจริงๆ คนมีตาทั่วทั้งเมืองหลินอันล้วนมองเห็น แต่พระชายามาพูดกับพวกหม่อมฉันเพื่ออันใด พวกหม่อมฉันไม่มีปัญญาไปบังคับจับศีรษะองค์ชายเจ็ดให้ทรงหันมามองพระชายาได้หรอกนะ”

เกามู่เฉิงบีบจอกสุราจนเกิดเสียงดังกึก นางหันหน้าไปแค่นเสียง “ฉินเจ่าเอ๋อร์ เจ้าพูดจากระทบกระเทียบให้มันน้อยหน่อยเถอะ เจ้าคิดว่าแต่งงานกับพี่สี่แล้วจะได้ประโยชน์อะไรกระนั้นหรือ พวกเราจะดีจะชั่วก็โตมาด้วยกัน…เจ้าแดกดันข้าเยี่ยงนี้มีผลดีอะไรต่อเจ้า”

ฉินเจ่าเอ๋อร์เหลือกตา “พระชายาทรงสอดเท้ามาตรงกลางระหว่างหม่อมฉันกับวั่งซูคือมีผลดีต่อหม่อมฉัน? ไม่เห็นหรือไรว่าพวกหม่อมฉันสองคนกำลังคุยกันถูกคอ อีกอย่างพระชายาเองก็ไม่ต้องเสียพระทัยไป หม่อมฉันว่าสามีของพระชายาก็ไม่ได้ชอบนางคนท้องโตนั่นถึงเพียงนั้นหรอก มิใช่บอกว่าอีกวันสองวันนี้ในจวนจะรับคนใหม่เข้ามาหรือไร อนุเยียนผู้นั้นบิดานางเป็นครูฝึกในกองราชองครักษ์ เมื่อก่อนยังเคยมาดื่มชาที่จวนข้าเลย หน้าตางดงามนัก ไม่แพ้พระชายาเชียวล่ะ ในเมื่อพระชายาจะมี ‘น้องสาวคนใหม่’ แล้ว ไยต้องทรงแย่งน้องสาวของหม่อมฉันด้วย พวกเราจะดีชั่วก็โตมาด้วยกัน ทรงแย่งของรักของผู้อื่นนับว่าพระชายาไร้ศีลธรรมหรือไม่”

เกามู่เฉิงแม้แต่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ยังกล้าเถียง มีหรือนางจะกล้ำกลืนความแค้นใจนี้ลงไป จึงเงื้อมือหมายจะตบคน ทว่ามือนั้นยังไม่ได้สะบัดลงไปก็ถูกเฉินวั่งซูคว้าไว้แล้ว

เฉินวั่งซูเลิกคิ้ว ขณะกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหวในตำหนักใหญ่ ตามติดมาด้วยเสียงร้องโหยหวน

เฉินวั่งซูเบือนหน้าไปมอง เห็นเพียงโต๊ะที่เกามู่เฉิงนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ถูกชนจนพลิกคว่ำ องค์ชายแปดนอนอยู่บนพื้นในสภาพทุลักทุเล มือยังถือกระบี่ไว้

นางสูดหายใจเฮือกใหญ่

“ว้าย เลือดเยอะยิ่งนัก!”

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com