ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 189-191
บทที่ 190
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เฉินวั่งซูเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเหยียนเจวี๋ยเดินมาหา เขาปรายตามองเกามู่เฉิงเรียบๆ ปราดหนึ่ง เกามู่เฉิงเนื้อตัวสั่นสะท้าน ขนลุกชันไปทั้งร่าง
นางดิ้นหลุดจากมือของเฉินวั่งซูได้ก็เร่งฝีเท้าเดินปลีกตัวไปจากข้างโต๊ะ
“มีข้าอยู่ วั่งซูจะเป็นอะไรได้” ฉินเจ่าเอ๋อร์จูงมือเฉินวั่งซู หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมาเช็ดให้นาง “เรื่องผิดปกติล้วนต้องมีอะไรแอบแฝง นางไม่ได้คุ้นเคยกับท่านเสียหน่อย ไยต้องมานั่งด้วย ท่านลองดูซิว่ามีปัญหาตรงที่ใดหรือไม่”
เฉินวั่งซูอบอุ่นหัวใจ กำลังจะตอบกลับก็พบว่าเหยียนเจวี๋ยนั่งลงตรงกลางระหว่างนางกับฉินเจ่าเอ๋อร์ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจแล้ว “ไม่เป็นไรแน่ล่ะ ในเมื่อท่านจะถูกตบยังต้องให้วั่งซูมาปกป้องท่านอยู่เลย”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ได้ยินก็โมโหจนหน้าตาบิดเบี้ยว นางถลกแขนเสื้อหมายจะเถียงอีก กลับเห็นเฉินวั่งซูทำมือบอกให้เงียบ ฉินเจ่าเอ๋อร์รู้ดีแก่ใจว่ายามนี้มิใช่เวลาให้พวกตนคุยเรื่องไร้สาระกันจึงถลึงตาใส่เหยียนเจวี๋ยอย่างดุร้ายหนหนึ่ง จากนั้นยังถลึงตาใส่องค์ชายสี่ที่อยู่ไกลคนละฟากอีกทีหนึ่งด้วย ก่อนจะพองแก้มไม่พูดไม่จา
“ไม่นะ! ลูกของข้า เลือดออกมากยิ่งนัก องค์ชาย องค์ชาย…”
เจียงเยี่ยเฉินตะลึงงันเล็กน้อยก่อนจะพุ่งตัวไปยกโต๊ะตัวนั้นออก อุ้มหลิ่วอิงที่ถูกทับอยู่บนพื้นขึ้นมาพลางร้องโหวกเหวกทันที “หมอหลวง หมอหลวง เร็วเข้า!”
หมอหลวงที่รออยู่ในตำหนักข้างได้ยินเสียงตะโกนก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา ประสานมือถวายบังคมฮ่องเต้ จากนั้นก็มองหลิ่วอิงปราดหนึ่งแล้วลงมือตรวจชีพจร “องค์ชายเจ็ด อนุหลิ่วต้องเตรียมตัวคลอดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเยี่ยเฉินหน้าเปลี่ยนสี “ยังไม่ถึงกำหนดเลย…” เขาพูดพลางประสานมือคารวะหมอหลวง “เช่นนั้นก็ขอฝากท่านด้วยแล้ว”
หมอหลวงมองฮ่องเต้ เห็นเขาพยักหน้าถึงได้ก้มหน้าตอบรับ สั่งให้องครักษ์ในวังสองสามคนนำเกี้ยวมาหามหลิ่วอิงออกไป
องค์ชายแปดที่ดูไม่ค่อยได้สติทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกเจียงเยี่ยเฉินจับทุ่มจนวิงเวียนตาลาย เขาขยี้ศีรษะก่อนลุกขึ้นยืน ครั้นมองเห็นกองเลือดบนพื้นก็ตื่นกลัวทันควัน “เสด็จพ่อ พี่เจ็ด ข้าไม่ได้เจตนา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าไยตนเองถึงได้ล้มไปได้”
เฉินวั่งซูหรี่ตาพลางมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง
ตอนที่เกามู่เฉิงเดินมาหาก่อนหน้านี้นางกับฉินเจ่าเอ๋อร์ต่างคอยระแวดระวังฝ่ายนั้นอยู่ตลอดจึงไม่เห็นว่าองค์ชายแปดล้มได้อย่างไร
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นองค์ชายเจ็ดที่กำลังเล่าเรื่องตลกเพื่อสรรเสริญฮ่องเต้ แล้วองค์ชายแปดเข้าไปร่วมวงด้วยยามใด
เหยียนเจวี๋ยกล่าวว่า “เหล่าชีชมว่าเหล่าปามีเพลงกระบี่ดี เหล่าปาจึงสำแดงฝีมือให้ชม ทว่าเพิ่งจะถึงกระบวนท่าที่สามก็ล้มเสียแล้ว”
เสี่ยวเกาเฟยที่นั่งอยู่ข้างฮ่องเต้ได้ยินก็เดินมาทันที “เจ้าเด็กคนนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น คราวก่อนเจ้าแสดงเพลงกระบี่ชุดนี้ให้แม่ดูบนพื้นหิมะยังยืนได้มั่นคงดีอยู่แท้ๆ เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่ รีบขออภัยพี่เจ็ดของเจ้าเสีย แม้เด็กคนนี้จะเกิดจากอนุ แต่อย่างไรก็เป็นบุตรคนแรกของเขา และก็เป็นเด็กที่ต้องเรียกมู่เฉิงว่ามารดา เป็นหลานแท้ๆ ของเจ้านะ ต่อให้เจ้าไม่เจตนา แต่ที่สุดแล้ว…ก็ต้องรีบขออภัยพี่เจ็ดของเจ้าเร็วๆ!”
องค์ชายแปดปรับสีหน้าเป็นจริงจังก่อนคารวะเจียงเยี่ยเฉินทันที “พี่เจ็ด ล้วนเป็นความผิดของข้า เด็ก…”
เจียงเยี่ยเฉินหน้าเขียวคล้ำ เขายกมือประคององค์ชายแปด “น้องแปดเองก็ทำพลาดไปโดยไม่เจตนา ก่อนหน้านี้พระอาจารย์หงฮุ่ยเคยทำนายว่าเด็กคนนี้เป็นคนมีบุญ ถ้าหากว่า…นั่นก็คงเป็นเขาต้องการไปเกิดในที่ที่ดี”
เฉินวั่งซูฟังแล้วมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความขบขัน นางยื่นมือไปวางในฝ่ามือของเหยียนเจวี๋ยแล้วบีบน้อยๆ
เหยียนเจวี๋ยมองนางปราดหนึ่งก่อนพยักหน้าเบาๆ
ฉินเจ่าเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็ถลึงตามององค์ชายสี่ที่ยังคงมุงดูความครึกครื้นอยู่กลางตำหนักใหญ่ เจ้าท่อนไม้นี่หากไม่มีใครจับแต่งงานมีหวังต้องอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิตแน่ๆ!
ดูอย่างเหยียนเจวี๋ยเขาสิ!
“เอาล่ะๆ หยุดขอโทษกันไปขอโทษกันมาได้แล้ว ข้าฟังแล้วเรื่องนี้มีจุดไม่ชอบมาพากลอยู่จริงๆ ในตำหนักใหญ่นี่จะลื่นกว่าพื้นหิมะได้หรือ ถึงเสี่ยวปามีวรยุทธ์เทียบพี่สี่ของเขาไม่ได้ แต่ก็ยังได้รับคำชมจากอาจารย์เป็นประจำ เพลงกระบี่ชุดนี้ข้าเองก็เคยเห็นแล้ว” ไทเฮากล่าวพลางหันไปมองฮ่องเต้ “เด็กคนนี้ฝึกฝนทั้งกลางวันกลางคืน แต่กลัวฝ่าบาทจะทรงเห็นจึงไปฝึกอยู่ที่ตำหนักข้า หมายรอทำให้ฝ่าบาททรงพระโสมนัสในงานเลี้ยงคืนนี้ แล้วอยู่ดีๆ เกิดล้มได้อย่างไร เหยียบถูกอะไรเข้าหรือไม่ เสี่ยวปาเจ้าเด็กคนนี้เป็นคนจริงใจเหมือนกับฝ่าบาทเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ เรื่องนี้ยังไม่ทันได้ความกระจ่างกลับให้ก้มหัวก่อนแล้ว…”
เจียงเยี่ยเฉินได้ยินก็พยักหน้าตาม “นิสัยของน้องแปดข้ารู้ดีกว่าใคร ระวังพื้นรองเท้าเจ้าหน่อย อย่าได้หกล้มอีก”
องค์ชายแปดหน้าเปลี่ยนสีในทันใด กลายเป็นไม่น่ามองยิ่งยวด
เสี่ยวเกาเฟยมองเจียงเยี่ยเฉินปราดหนึ่งด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวกับมามาที่ข้างกายว่า “ยังมัวยืนทึ่มทื่อทำกระไร ไปยกม้านั่งมาสิ ไม่เห็นหรือว่าองค์ชายแปดเพิ่งจะหกล้ม ไม่รู้ว่าเจ็บตรงที่ใด กระแทกถูกตรงจุดใดหรือไม่!”
“เสด็จแม่ ไม่ต้องยกเก้าอี้แล้ว เมื่อครู่นี้ถูกโต๊ะกระแทกขา เพียงเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายแปดพูดพลางยกขาขึ้นอย่างติดขัดอยู่บ้าง
เสี่ยวเกาเฟยก้มหน้ามองแล้วส่งเสียงอุทาน “ตายจริง! พื้นรองเท้าเจ้ามีไข่มุกติดอยู่เม็ดหนึ่ง คิดว่าเมื่อครู่คงจะเหยียบลงไปถึงได้ลื่น!”
นางพูดพลางออกแรงแงะไข่มุกเม็ดนั้นชูให้คนทั้งหลายดู “ฝ่าบาท งานเลี้ยงวันนี้ฮองเฮาทรงจัดขึ้นด้วยพระองค์เอง หม่อมฉันคอยช่วยอยู่ข้างๆ ในตำหนักใหญ่นี้ แม้ตรวจดูไม่ถึงสิบรอบก็ต้องถึงเก้ารอบ กระทั่งผมสักเส้นก็ไม่มีเกินมา อยู่ดีๆ ปาหลางเขาจะเหยียบไข่มุกเข้าได้อย่างไร พระองค์ต้องทรงตรวจสอบให้ดีนะเพคะ ดูว่าเป็นผู้ใดต้องการทำร้ายเขา อีกทั้งอนุหลิ่วนางนั้น…”
ครั้นฮองเฮาได้ฟังว่าเรื่องถูกโยงมาถึงตนเองก็พูดคล้อยตามทันที “เกาเฟยพูดได้ถูกต้อง”
ฮ่องเต้มองไปยังไข่มุกเม็ดนั้นทีหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่องค์ชายแปด “พอแล้ว จะเรื่องใหญ่เพียงใดกันเชียว วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ แต่ละคนปล่อยเรื่องใดผ่านไปได้ก็จงปล่อยผ่านไป ครอบครัวปรองดองกันจึงจะรุ่งเรือง เจ้าเจ็ดมิใช่บอกแล้วหรือว่าเด็กคนนั้นเป็นคนมีบุญ เราเห็นว่าอนุหลิ่วผู้นั้นมีรูปร่างแข็งแรง สภาพครรภ์ก็ดีมาโดยตลอด เด็กจะต้องคลอดออกมาอย่างปลอดภัยได้แน่นอน
บนตำหนักใหญ่นี้มีสตรีอยู่มากมาย จะมีคนเผลอทำไข่มุกตกไปสักเม็ดหนึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ปกติ ผู้ที่ทำตกไว้เพียงทำผิดไปโดยมิได้ตั้งใจ ปาหลางยิ่งไม่มีเจตนา ฉะนั้นไม่ต้องวุ่นวายเรื่องนี้แล้ว”
คนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็ร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียงว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ!”
เฉินวั่งซูเองก็ประสานมือถวายบังคมตามพลางหันหน้าไปลอบยิ้มให้เหยียนเจวี๋ย ปากขยับเป็นคำพูดไร้เสียงว่า ‘สาม สอง หนึ่ง มาแล้ว!’
“ฝ่าบาท! ไข่มุกเม็ดนี้มู่เฉิงเห็นแล้วดูคุ้นตา ให้มู่เฉิงดูสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ”
เป็นไปตามคาด เสียงของเกามู่เฉิงดังขึ้นในตำหนักใหญ่
ฉินเจ่าเอ๋อร์เห็นแล้วก็บีบจอกสุราเงินในมือจนบุบ “ข้าว่าแล้ว เรื่องผิดปกติล้วนต้องมีอะไรแอบแฝง ไม่รู้ว่านางจะพูดเรื่องเหลวไหลอันใดอีก! วั่งซู…”
เฉินวั่งซูส่ายหน้าเบาๆ ให้อีกฝ่าย ทำมือบอกให้เงียบ
แต่เกรงว่าปกติตัวเฉินวั่งซูคงจะโอบอ้อมอารีเกินไปถึงได้ถูกคนดูถูกเข้าแล้ว!