ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 189-191
บทที่ 191
เสี่ยวเกาเฟยลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยว สุดท้ายยังคงยื่นไข่มุกเม็ดนั้นให้เกามู่เฉิง
เกามู่เฉิงหยิบไข่มุกมาลูบคลึงในมือสองสามทีก่อนคืนให้เสี่ยวเกาเฟยไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ “ไข่มุกเม็ดนี้ดำขลับ ไม่มีตำหนิแม้แต่กระผีกเดียว หายากยิ่งนัก เป็นของบรรณาการจากอำเภอจูหยาในปีนี้ ทั้งหมดมีสิบแปดเม็ด ร้อยด้วยดิ้นทอง ตัวจี้เป็นหยกกลมเหลืองลายมังกรหงส์ถวายสิริมงคล ทั้งยังได้ขอให้พระอาจารย์หงฮุ่ยช่วยทำพิธี ให้ชื่อว่า ‘ทองดำ’ มีฤทธิ์ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและช่วยให้จิตใจสงบ”
เกามู่เฉิงพูดพลางชี้สร้อยประคำที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกตนเอง “ฝ่าบาททรงกตัญญู ได้นำสร้อยนั้นไปถวายไทเฮา มู่เฉิงสะสมไข่มุกมาตั้งแต่เล็ก พอได้เห็นก็รู้สึกชมชอบหมดใจ จึงกราบทูลขอจากไทเฮาเป็นจำนวนมาก สุดท้ายไทเฮาตรัสว่าได้พระราชทานให้ผู้อื่นแล้ว มู่เฉิงถึงได้เลิกรบเร้า ไข่มุกสีดำเช่นนี้พบเจอได้น้อยมาก เป็นสาเหตุที่มู่เฉิงเห็นแล้วจดจำได้ในทันที”
ไทเฮารับฟังแล้วก็กวักมือเรียกเกามู่เฉิง เกามู่เฉิงเดินไปหาอย่างว่าง่าย ใช้สองมือยื่นไข่มุกไปให้ไทเฮา
“อา ข้านึกได้แล้ว มีสร้อยประคำมุกอยู่เส้นหนึ่งจริงๆ ไม่กล่าวถึงว่าไข่มุกนี้ล้ำค่าหรือไม่ แต่สีดำสีทองนี้ไม่เหมาะสมกับหญิงสาว ข้าจึงมิได้ให้ไป ต่อมา…”
ไทเฮาพูดพลางลังเลเล็กน้อย ผินหน้ามองไปยังเสี่ยวเกาเฟย “ต่อมาระยะหนึ่งเจ้ามิใช่ป่วยออดๆ แอดๆ ประจำหรือไร บอกว่าตกกลางคืนชอบได้ยินเสียงแมวร้อง จุดธูปสงบใจก็ยังนอนหลับไม่สนิท ข้าจึงใช้ให้กู้มามานำสร้อยไปส่งให้เจ้า”
คราวนี้เสี่ยวเกาเฟยถึงนึกขึ้นได้ นางหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ไทเฮา หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของไทเฮา เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงได้เก็บสร้อยนี้เข้าหีบ มิกล้านำออกมาใช้ส่งเดช ต่อมาขณะเซี่ยนจู่ออกเรือนพี่หญิงน้องหญิงในวังล้วนเติมสินเดิมให้เซี่ยนจู่ หม่อมฉันรื้อหีบจนทั่วก็ยังหาของดีอะไรไม่ได้จึงนึกถึงสร้อยประคำนี้และได้นำมันมาเติมสินเดิมส่งออกไปกับของพระราชทานจากฝ่าบาทและไทเฮา หม่อมฉันนำของพระราชทานจากไทเฮาไปมอบต่อให้เซี่ยนจู่โดยพลการ ถือว่ามีความผิดโดยแท้”
นางพูดพลางมองไปทางเกามู่เฉิง “หญิงสาวอายุน้อยนี่ช่างตาดีนัก ไม่เหมือนกับข้า ข้าถือไข่มุกนั้นอยู่ในมือแท้ๆ ยังจำไม่ได้เลย ไข่มุกสีดำที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วสิบแปดเม็ดนี้หาได้ยากจริงๆ ทว่าหากอยู่ลำพังเม็ดเดียวก็มิได้หายากปานนั้น ถึงแม้จะเป็นของเซี่ยนจู่ แต่ถ้าดิ้นทองไม่แน่นหนาก็หลุดกระจายลงพื้นได้เช่นกัน วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ ฝ่าบาทตรัสแล้วว่าให้ถือความปรองดองเป็นสำคัญ”
เกามู่เฉิงได้ยินก็หัวเราะขึ้นเสียงเบา “เกาเฟยตรัสถูกต้อง มู่เฉิงเพียงเห็นของที่ใฝ่ฝันมานานจึงได้หักห้ามตนเองไม่อยู่ไปชั่วขณะเท่านั้นเพคะ” นางพูดพลางหันมามองเฉินวั่งซู “เซี่ยนจู่ ไข่มุกนี่มู่เฉิงชอบยิ่งนัก ขอเก็บไว้ได้หรือไม่”
เฉินวั่งซูรู้สึกถึงสายตาที่มองมาของคนทั้งหลายก็ทำเสียงจุปากในใจ นี่คือไม่พบกันสามวันก็ทำให้คนต้องมองกันใหม่แท้ๆ เชียว
เกามู่เฉิงที่เป็นดั่งประทัดผู้นี้ไม่ได้พบกันพักเดียว ก้าวหน้าแล้วจริงๆ
คนในที่นี้ไม่มีใครโง่เขลา ต่อให้พิสูจน์ได้ว่าสร้อยประคำมุกเส้นนั้นเป็นของเฉินวั่งซูแล้วอย่างไร นางสามารถบอกปัดได้ว่าเผลอทำหายไป ถูกคนขโมยไป…หรือไม่ก็ดิ้นทองขาด ไข่มุกนอนนิ่งๆ อยู่บนพื้น องค์ชายแปดเดินมาเหยียบเองจะโทษผู้ใดได้
เจตนาโยนออกไปหรือไม่นั้นก็แล้วแต่คนจะคิดแล้ว
เฉินวั่งซูหมุนกำไลหยกบนข้อมือ
คำแก้ตัวที่ตนอยากพูดล้วนถูกพวกนางพูดไปหมดแล้ว ตนยังจะพูดอะไรได้
เฉินวั่งซูยิ้มก่อนหรี่ตาลง ยืนขึ้นถามด้วยความสงสัย “พระชายาองค์ชายเจ็ดทรงเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่”
นางพูดพลางเขย่ากระโปรงตนเอง จี้หยกพกบนตัวส่งเสียงกระทบกัน แต่ไม่มีสิ่งใดตกลงมา
คนอื่นๆ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ฉินเจ่าเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างเฉินวั่งซูกลับมีเพลิงโทสะลุกโชนแล้ว นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้เกามู่เฉิงต้องเดินมานั่งลงข้างเฉินวั่งซู นางมาเพื่อซ่อนไข่มุก ยัดของโจรโยนความผิดใส่เฉินวั่งซูนั่นเอง
หากเฉินวั่งซูเป็นคนโง่ ลุกขึ้นมาตอบในยามนี้ เกรงว่าไข่มุกดำที่เหมือนกันกับเม็ดที่อยู่ใต้รองเท้าองค์ชายแปดทุกกระเบียดนิ้วคงได้ร่วงลงมาแล้ว
“แม้ไข่มุกดำเม็ดนี้จะเป็นของชั้นเลิศเช่นกัน แต่มิใช่ไข่มุกจากสร้อยเส้นที่เกาเฟยประทานให้หม่อมฉัน เพราะฉะนั้นหากพระชายาองค์ชายเจ็ดต้องการก็ควรถามเจ้าของของมันจึงจะถูก”
เฉินวั่งซูพูดจบก็เดินไปกลางตำหนักใหญ่ ก่อนถวายบังคมน้อยๆ ต่อเสี่ยวเกาเฟย “ช่วงก่อนวั่งซูได้รับความหวาดผวา ฝันเห็นงูทุกวัน โชคดีเหลือเกินที่เกาเฟยประทานสร้อยประคำมุกมาให้ถึงสามารถนอนหลับได้
วั่งซูหมุนประคำไปพลางสวดมนต์ในใจไปพลาง กลับค้นพบว่ามีเรื่องหนึ่งที่เกรงว่าพระชายาองค์ชายเจ็ดคงจะจำคลาดเคลื่อนไป สร้อยประคำมุกเส้นนั้นมิได้มีสิบแปดเม็ด แต่มีสิบหกเม็ดต่างหาก จะว่าไปแล้วในเรื่องนี้ยังมีเรื่องตราตรึงใจอยู่ด้วย!”
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่นึกอยากรู้ขึ้นมา “อ้อ เรื่องนี้ยังมีเรื่องราวอยู่อีก” เขากล่าวพลางกวักมือเรียกเหยียนเจวี๋ย “เจ้าเด็กคนนี้ ไยจึงไปนั่งไกลปานนั้นเล่า เมื่อครู่เราหาคนดื่มด้วยกลับไม่เห็นเจ้าเลย วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ แต่ไหนแต่ไรมาเราล้วนต้องทดสอบบทเรียนของเหล่าบุตรชาย จะว่าไปก็ได้ยลวิชากระบี่ของเสี่ยวปาแล้ว ประเดี๋ยวต้องดูของเจวี๋ยเอ๋อร์ด้วยจึงจะถูก”
ฮ่องเต้กล่าวจบก็ชี้เหยียนเจวี๋ยพลางเอ่ยกับไทเฮา “เด็กคนนี้นี่นะ พริบตาเดียวก็เติบใหญ่แล้ว ตอนยังเล็กยังเคยปัสสาวะในอ้อมแขนเราเลย ขวัญกล้าเทียมฟ้า บัดนี้กลับรู้มารยาทเสียแล้ว เรื่องวรยุทธ์นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย แม้แต่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่รอบพิเศษเขาก็ยังสอบผ่าน หากสอบได้จ้วงหยวนก็คงจะทำเอาบรรดาบุตรชายเราดูอ่อนด้อยกันหมด”
ไทเฮานิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือปิดปากส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที “ถึงอย่างไรในสายพระเนตรฝ่าบาทเจวี๋ยเอ๋อร์ก็ดีไปเสียทุกอย่าง วั่งซูกำลังจะเล่าเรื่อง มาขัดจังหวะได้อย่างไร เอาล่ะๆ แต่ละคนก็อย่ามัวยืนนิ่งอยู่เลย วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ อย่าปล่อยให้สุราอาหารเย็นชืดเสียหมด”
เฉินวั่งซูหลุบตาลง ก่อนมองไทเฮาปราดหนึ่งแล้วเล่าต่อว่า “อำเภอจูหยาสามารถเก็บไข่มุกได้จำนวนมาก โดยมีสีขาวสีชมพูเป็นหลัก สีดำมีอยู่น้อยนัก ปีนี้งมหอยได้หอยยักษ์มาถึงสามตัว เป็นสีขาวหิมะทั้งตัว ปราศจากตำหนิ แค่เห็นก็รู้ว่าในนั้นต้องมีสมบัติล้ำค่า ชาวประมงแงะออกดู หอยยักษ์สามตัวนั้นมีไข่มุกสีดำอยู่ตัวละหกเม็ด กลมกลึงไร้ตำหนิ สีสันแวววาวเงางาม พุทธศาสนามีธาตุสิบแปด แบ่งเป็นอินทรีย์หก อายตนะหก วิญญาณหก สร้อยประคำส่วนใหญ่มีสิบแปดเม็ดซึ่งถือเป็นจิตวิญญาณแห่งพุทธ
ครั้นไข่มุกสีดำสิบแปดเม็ดนี้ปรากฏออกมา นายอำเภอจูหยาก็กำหนดให้มันเป็นของบรรณาการ ส่งมอบให้ช่างมุกหญิงนามหนานเกอนำไปดูแลและใช้ดิ้นทองร้อยมันทันที พอได้ไข่มุกดำนี้มาหนานเกอก็ทั้งดีใจทั้งทุกข์ใจ ดีใจนั้นเข้าใจไม่ยาก แต่สำหรับเรื่องทุกข์ใจเล่า…
ที่แท้มารดาของหนานเกอผู้นั้นป่วยหนัก ใกล้จะลาโลกเต็มที หมอเขียนใบสั่งยาให้ แต่ต้องใช้ของดำเก้าอย่างเป็นกระสายยา หนานเกอหากระดองหมึก หางาดำ ถั่วเหลืองผิวดำ…จนได้มาแปดชนิดจากเก้าชนิดแล้ว ขาดก็แค่ชนิดที่สำคัญที่สุด
หนานเกอกตัญญูเป็นที่สุด จึงลอบนำไข่มุกเม็ดหนึ่งมารักษามารดาของนาง แต่ของบรรณาการหายไปหนึ่งเม็ดนายอำเภอมีหรือจะไม่โกรธ แน่นอนว่าย่อมจะเอาผิดสถานหนักกับหนานเกอ แต่ในเวลานี้เองพระอาจารย์หงฮุ่ยกลับกล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงเมตตา ไข่มุกนี้เดิมทีมิได้เป็นลูกประคำ แต่เพราะมีความกตัญญูของหนานเกอ ทำให้ไข่มุกนี้เป็นคุณ ทว่าสิบเจ็ดเม็ดไม่สมบูรณ์ พระอาจารย์หงฮุ่ยจึงนำอีกเม็ดไปถวายให้วัด นำสิบหกเม็ดที่เหลือมาร้อยแล้วใส่จี้หยกกลมเหลืองลายมังกรหงส์เข้าไป เมื่อรวมจิตใจที่กตัญญูแล้วก็จะครบสิบแปด”
* ยิ้มไม่เห็นฟันแปดซี่เป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐาน ใช้เพื่ออธิบายคุณธรรมของผู้หญิง โดยมีที่มาจากคัมภีร์ ‘หลุนอวี่สำหรับสตรี’ มีจุดประสงค์หลักเพื่อการสั่งสอนและชี้นำความประพฤติอันดีงามให้แก่ผู้หญิงตามแนวคิดของหลักปรัชญาขงจื๊อ โดยในบทที่หนึ่งของเรื่องการครองตนได้กล่าวไว้ว่า ‘ผู้หญิงไม่ควรหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง เวลาพูดไม่ควรอ้าปากกว้างจนเกินไป ลุกยืนไม่สะบัดชายกระโปรง นั่งลงไม่เขย่าขา มีความสุขไม่หัวเราะเสียงดัง โมโหไม่ขึ้นเสียง’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.