บทที่ 19
วังหลวงในเมืองหลินอันสร้างตามรูปแบบวังในราชวงศ์ก่อน
ชาวต้าเฉินชื่นชมในความงามอันเรียบง่าย ดูผ่านๆ หน่อยก็พอไหว แวบแรกที่เห็นดูซอมซ่อมอซอ แต่ครั้นขุดรายละเอียดกลับมีความมั่งคั่งอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากกล่าวตามคำของบัณฑิตก็เรียกว่าหรูหราอย่างไม่กระโตกกระตาก
ฮ่องเต้อยู่ในตำหนักเสวี่ยนเต๋อด้วยอารมณ์กลัดกลุ้มอยู่บ้าง อัครมหาเสนาบดีเกาเพิ่งจะออกไปจากที่นี่ ถ้วยชาบนโต๊ะยังอุ่นๆ อยู่
มือข้างหนึ่งจับพู่กันที่แต้มหมึกแดงไว้ สายตามองไปที่ฎีกาเบื้องหน้าของตน เป็นนานก็มิได้จรดพู่กัน
“เกากง* พรั่งพร้อมด้วยคุณธรรม มู่เฉิงเองก็เติบโตมาภายใต้สายพระเนตร เป็นเด็กเฉลียวฉลาดน่ารัก เคยประสบเรื่องเช่นนี้เสียที่ใด ฝ่าบาท ปัจจุบันเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันครึกโครม หากพระองค์ยังมิมีพระราชโองการลงไปปิดปากคนทั้งหลาย มู่เฉิงไหนเลยจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกได้เพคะ เดิมก็เป็นเพราะเยี่ยเอ๋อร์เหลวไหล…”
“เจ้าลูกเนรคุณ เหลวไหลจริงๆ ควรเอาขี้เถ้ายัดปากเขาตั้งแต่เกิดออกมาแล้ว จะได้ไม่ต้องก่อเรื่องขายหน้าผู้คน” ฮ่องเต้ตบโต๊ะดังปัง ตัดบทเกากุ้ยเฟย
พู่กันเกิดสั่น ทำให้หมึกหยดบนกระดาษสีขาวหิมะเป็นวงใหญ่ ฎีกากองใหญ่นั้นถูกแรงสะเทือนจากเขาทำให้ร่วงครืนลงมา ฮ่องเต้เหลือบมองดูก็เห็นคำว่า ‘เฉินกง’ เรียงเป็นพืด ตริตรองแล้วก็ให้หงุดหงิดขึ้นมาทันที “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้เราย่อมจะมีคำตัดสินเด็ดขาด”
เกากุ้ยเฟยเห็นสีหน้าอีกฝ่ายไม่สู้ดี ไหนเลยจะยังกล้าวิ่งเข้าหาปลายหอก จึงบิดผ้าเช็ดหน้าพลางขอตัวจากไป
ในห้องเงียบสงบลงแทบจะในทันที ฮ่องเต้แค่นเสียงทีเดียวขันทีที่ด้านข้างก็ก้มลงเก็บฎีกาที่ร่วงตกทั้งหมดขึ้นมาวางไว้ ก่อนจะเก็บพู่กันด้วยความระมัดระวัง
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้วถึงได้ลอบถามหยั่งเชิงขึ้นว่า “ฝ่าบาท ฮูหยินราชบัณฑิตเฉินรวมถึงว่าที่พระชายาองค์ชายเจ็ด…คุณหนูรองเฉินมารอเข้าเฝ้าอยู่ที่ตำหนักข้างนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังเขาพูดจบก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนมองฮ่องเต้ปราดหนึ่งอย่างระวังตัวแจ
ฮ่องเต้มองฎีกาปึกหนานั้นอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ให้เข้ามาพบได้”
เฉินวั่งซูลุกขึ้นยืน วุ้นซานจา ของในวังหลวงแคว้นต้าเฉินนี้รสชาติดีโดยแท้ นางอดไม่ไหวกินไปหลายชิ้น แต่บัดนี้กลับท้องร้องโครกคราก อยากกลับจวนไปกินให้เต็มคราบใจจะขาดแล้ว
เพียงเข้ามาในตำหนักเสวี่ยนเต๋อกลิ่นกำยานฉุนกึ้กจนทำให้คนหายใจไม่ออกก็โชยมาปะทะหน้า ทั้งสี่ด้านของห้องมีแต่หนังสือ มืดทะมึนจนชวนให้คนหายใจไม่ออก
เฉินวั่งซูลอบเหลือบมองปราดหนึ่ง ดีมาก หนังสือข้างบนนั้นยังใหม่เอี่ยม ไม่ต่างอะไรจากที่คู่แข่งนางในชีวิตก่อนซื้อหนังสือไม่มีไส้ในมาวางโชว์เต็มผนังเพื่อตบตาว่าเป็นคนมีการศึกษา
ฮ่องเต้มีเส้นผมสีดอกเลา ดวงตาเรียวยาวอีกทั้งแหลมคม ริมฝีปากหนาประหนึ่งถูกเหล่าพระสนมชายาที่ตำหนักในผลัดกันจุมพิตจนบวมก็มิปาน แก้มตอบ มิได้ดูสูงวัยหรือหัวล้านหน้าผากย่นเหมือนกับชายชราทั่วไปเหล่านั้น อีกทั้งใบหน้าก็แดงเปล่งปลั่ง
ขณะยังอยู่ในวัยหนุ่มน่าจะเป็นหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ดูเป็นคนสัตย์ซื่อ แต่ภายในซ่อนเจตนาร้าย มีอุบายลึกล้ำ
เฉินวั่งซูลงคำตัดสินในใจโดยอาศัยวิชา ‘โหงวเฮ้ง’ ที่ตนเองไม่ได้มีความรู้สักกระผีก