“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปีเพคะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถวายบังคม เฉินวั่งซูก็ทำตามนาง
“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินไม่ต้องมากพิธี เฉินกงมีคุณธรรมสูงส่ง หลายปีมานี้เราระลึกถึงเสมอ คิดเพียงว่ารอปราบปรามทางเหนือได้สำเร็จเสร็จสิ้นก็จะซ่อมป้ายสุสาน สร้างศาลเซ่นไหว้ให้เฉินกง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถวายบังคมด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง ในดวงตาปรากฏน้ำตาคลอ “นี่เป็นเรื่องที่เขาพึงกระทำในฐานะขุนนางผู้ภักดีเพคะ”
ฮ่องเต้ลังเลอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็เหลือบมองฎีกาบนโต๊ะหนังสือ ในที่สุดก็ออกปากว่า “เรื่องในสองสามวันนี้คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉินคงจะรู้แล้วเช่นกัน อัครมหาเสนาบดีเกามีบุตรชายหลานชายเต็มบ้าน แต่กลับมีหลานสาวเพียงผู้เดียว จึงเห็นเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงอย่างดี เรื่องนี้พูดแล้วก็กระดากปาก ทว่า…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินส่ายศีรษะ ถวายบังคมฮ่องเต้เป็นครั้งที่สาม
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา ก่อนจะจับมือเฉินวั่งซูขึ้นมาตบปลอบเบาๆ “ฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันเข้าวังก็เพื่อจะขอบังอาจมาพูดเรื่องนี้ คำสั่งสอนของผู้เป็นสามียังชัดเจนปานเพิ่งเกิดตรงหน้า ผู้เป็นขุนนางมีหน้าที่แบ่งเบาความทุกข์และคลายข้อสงสัยแด่องค์เหนือหัว เขาได้นำบุตรชายสองคนนั้นของหม่อมฉันไปทำเรื่องที่บุรุษพึงกระทำแล้ว วันนี้หม่อมฉันมาก็เพื่อทำเรื่องที่ราษฎรแห่งต้าเฉินพึงกระทำ”
ฮ่องเต้ชะงักงันไป ปากเผยออ้าน้อยๆ สายตาที่มองดูฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเปลี่ยนไปเล็กๆ จากนั้นก็กวาดมามองดูเฉินวั่งซู เห็นนางเพียงยืนค้อมกายต่ำอย่างเคารพนบนอบถึงขนาดคนมองไม่เห็นหน้า แล้วก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้
ตอนแรกที่เลือกเฉินวั่งซูให้แต่งงานกับองค์ชายเจ็ด สาเหตุประการหนึ่งก็คือมีความต้องการให้สกุลเฉินสืบทอดยืนยาวต่อไปหลายร้อยปี ไม่กล่าวถึงคุณงามความดีอื่น บุตรสาวของบ้านใหญ่สกุลเฉินก็นับว่ามีมารยาทมีความเคารพ ค้ำจุนครอบครัวไหวจริงๆ
วันนี้ได้พบ แม้เกามู่เฉิงจะเป็นที่น่าพอใจ แต่หากกล่าวถึงความสุขุมและการรับมือปัญหากลับด้อยกว่าเฉินวั่งซูผู้นี้หลายสิบขุม
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเองก็เป็นคนรู้จักกาลเทศะ หากเขาบอกไปตรงๆ ว่าจะลดขั้นเฉินวั่งซูเป็นอนุ ผู้ตรวจการเหล่านั้นจะต้องไม่มีทางยอมเลิกราเป็นแน่ ถึงแม้พูดออกไปแล้วจะไม่น่าฟัง แต่หากสกุลเฉินยอมเป็นฝ่ายถอยเอง เช่นนั้นก็ดีมิมีใดเกินแล้ว
ทว่าถ้าพวกนางเป็นดั่งคำเล่าลือ ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่ก้าวเดียว เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขา…
“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกล่าวมาได้เลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “คุณหนูเกามีนิสัยร่าเริง มีความรู้ มีเหตุผล เป็นคู่บุพเพฟ้าประทานกับองค์ชายเจ็ด”
เฉินวั่งซูพยักหน้าน้อยๆ ไม่ผิดสักนิด ผีเน่ากับโลงผุ คู่กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
ฮ่องเต้โล่งพระทัยทันที “ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน…”
ไม่รอให้เขาเอ่ยชมฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็ชิงพูดต่ออีกว่า “แต่ฝ่าบาทออกพระโอษฐ์เลือกคุณหนูรองเฉินของหม่อมฉันเป็นพระชายาเอกองค์ชายเจ็ดอยู่ก่อนแล้ว หากทรงกลับคำไปมาก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้คนประณาม”
นางเน้นน้ำเสียงหนักตรงคำว่า ‘เอก’
แววตาของฮ่องเต้คมกริบขึ้นมาทันควัน น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นหลายส่วน “เจ้า!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเห็นอีกฝ่ายเริ่มโมโหแล้วถึงค่อยกล่าวด้วยความเคารพนบนอบ “ฝ่าบาท หม่อมฉันเข้าวังครานี้เพื่อมาทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ ช่วยคลายความทุกข์ขจัดความลำบากพระทัยให้ฝ่าบาท ไม่กี่วันก่อนสำนักโหรหลวงตรวจดูเทียบชะตาตกฟากขององค์ชายเจ็ดกับหลานสาวหม่อมฉัน พบว่าชะตาพิฆาตกันเพคะ”
ฮ่องเต้มุ่นหัวคิ้ว มีท่าทางคล้ายไตร่ตรองอะไรบางอย่างในใจขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “โจ่งแจ้งเกินไปหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินจึงลุกขึ้นกล่าวอีกว่า “เมื่อปีก่อนฝ่าบาททรงให้สำนักโหรหลวงหาหญิงสาวผู้มีชะตาตกฟากรุ่งโรจน์นางหนึ่งมาชำระร่างกาย คัดคัมภีร์เพื่อภาวนาขอพรแด่ไทเฮาเป็นเวลาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน หลานสาวผู้นี้ของหม่อมฉันด้อยความรู้ มิมีความสามารถอื่นใด แต่กลับเขียนอักษรได้งดงามเป็นเลิศ”
ฮ่องเต้นิ่งงันไป ก่อนจะพลันหัวเราะออกมาด้วยความยินดียิ่ง
“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเป็นจู่เก่อเลี่ยง ในหมู่สตรีโดยแท้!” ฮ่องเต้เอ่ย น้ำเสียงสบายใจขึ้นมาก ครั้นเขาแย้มรอยยิ้มใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยย่น ทำให้ความรู้สึกบีบคั้นที่แฝงมากับสายตาดูอ่อนลง กลายเป็นดูอบอุ่นขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกลับมิได้ยิ้ม เพียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนตบหลังมือเฉินวั่งซูเบาๆ จากนั้นก็ถวายบังคมฮ่องเต้เป็นหนที่สี่ “แบ่งเบาความทุกข์ของฝ่าบาทเป็นหน้าที่ของขุนนางผู้ภักดีเพคะ”
ฮ่องเต้ทอดตามองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง เห็นนางเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย จมูกของนางแดงก่ำ ในดวงตาแฝงประกายชุ่มชื้น ปากน้อยๆ เม้มแน่น เมื่อมองเห็นเขามองไปก็รีบก้มหน้าลง น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนพื้นไม้กระดานเบาๆ
ฮ่องเต้หัวใจบีบรัด กระแอมเบาๆ สองสามที สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมีคุณธรรมสูงส่ง ทำหน้าที่ได้ดีมิแพ้บุรุษ”