บทที่ 20
เฉินวั่งซูก้มหน้างุด นางอดจะเหลือกตามองบนในใจอย่างเงียบๆ ไม่ได้
ในวังนี้มั่งคั่งมีเกียรติสุดแสนจริงๆ แต่หากเจ้าของมิใช่นาง ความมั่งคั่งมีเกียรติที่ต้องพึ่งจมูกผู้อื่นหายใจเช่นนี้นางทนไม่ไหวหรอก
ฮ่องเต้คลายความวิตกแล้วก็ย่อมจะมือเติบ มอบคทาหยกสมปรารถนาหนึ่งคู่พร้อมด้วยคัมภีร์ม้วนหนึ่งให้แก่เฉินวั่งซู แล้วกล่าวสั่งให้ขันทีไปส่งสองย่าหลานสกุลเฉินออกจากตำหนักเสวี่ยนเต๋อ
กลางวังหลวงแคว้นต้าเฉินเงียบสงัด มีเพียงเสียงนกสองสามตัวร้องดังแว่วๆ
“คุณหนูรองเฉินระวังทางข้างหน้าด้วยขอรับ ตรงนั้นมักมีก้อนหิน หากเหยียบถูกจะเจ็บได้ง่าย เดินช้าลงหน่อยจะได้ไม่พลาดเหยียบ” ขันทีที่นำทางหันหน้ากลับมามองชายกระโปรงที่ปลิวไสวของเฉินวั่งซูก่อนกระซิบเสียงเบา
น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยแววเวทนาสงสารในความอาภัพของนาง
เฉินวั่งซูที่ได้รับความเห็นใจยามนี้กลับกำลังดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้นว่า สำเร็จแล้วๆ!
อีกไม่ถึงสองวันนางก็สามารถเตะชายเส็งเคร็งลอยกระเด็นไปได้ และเริ่มวางแผนแต่งคนงามแซ่เหยียนได้แล้ว ถึงเวลานั้นพวกนางสามีภรรยารวมหัวสมคบคิด…ไม่สิ ร่วมแรงร่วมใจกันพลิกโฉมแคว้นต้าเฉิน ถึงเวลานั้นเจียงเยี่ยเฉินก็จะต้องมาคุกเข่าเรียกนางว่าบิดาแต่โดยดี!
ถึงเวลานั้นนางหลุดจากภารกิจได้อย่างราบรื่น ซ้ำยังได้เชยชมคนงามฟรีๆ…นับได้ว่าเหมือนกับบัณฑิตรูปงามได้พบเสี่ยวเชี่ยน ช่างโรแมนติกวาบหวามมิมีใดเกิน!
“ขอบคุณมากที่เตือน” ในใจเฉินวั่งซูกระหยิ่มยิ้มย่องแล้ว ภายนอกกลับสงบเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ สุขุมปานสุนัขแก่ ทำให้คนมองพิรุธไม่ออกโดยสิ้นเชิง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะผลจากสภาพจิตใจหรือไม่ ทางออกจากวังถึงได้สั้นกว่าขามามาก
ขณะใกล้ถึงหน้าประตูวังเฉินวั่งซูอดจะหันหน้ากลับไปมองเล็กน้อยไม่ได้ มิได้สูงตระหง่านสุดลูกหูลูกตาอะไร และก็มิได้เห็นปรากฏการณ์มงคลอันแสดงถึงผู้เป็นโอรสสวรรค์อะไร มีก็แต่กระเบื้องมุงกำแพงปกติธรรมดาเท่านั้นเอง
ถึงขนาดว่าเนื่องจากฤดูใบไม้ผลิฝนตกชุกเชิงกำแพงหลายจุดยังมีตะไคร่เขียวขึ้นมาแล้ว ดูค่อนข้างเป็นด่างดวง ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ
พอขึ้นมาบนรถม้าแล้วเฉินวั่งซูก็มีท่าทางผ่อนคลายลง
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินตบหลังมือนางเบาๆ เป็นการปลอบโยนเหมือนที่ทำขณะอยู่ในวัง “เอาล่ะ เรื่องที่เจ้าคิดไว้สำเร็จแล้ว หากอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ ย่าเห็นเจ้าอยู่ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท ดูน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนเป็นลูกแมวตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินวั่งซูส่ายศีรษะพลางแสยะปากยิ้ม “ท่านย่า หลานอยากร้องไห้เสียที่ใดกันเจ้าคะ ยามนี้หลานอยากแต่จะหัวเราะให้ก้องฟ้า แต่ก็เกรงว่าท่านย่าจะตกใจ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินลูบศีรษะนางอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “อยากหัวเราะก็หัวเราะสิ อายุเพิ่งจะสิบห้าสิบหก แต่เจ้าดันรู้ความเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว บุตรสาวสกุลเฉินเราล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า มีสักกี่คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเฉกเช่นเจ้า” นางกล่าวพลางเปลี่ยนน้ำเสียง “เจ้ามีอะไรอยากถามหรือไม่”
เฉินวั่งซูปรับสีหน้าให้จริงจัง ก่อนโพล่งออกไปโดยไม่ต้องคิด “เดิมทีหลานคิดว่าขอเพียงทำให้สำนักโหรหลวงบอกว่าหลานกับองค์ชายเจ็ดมีชะตาไม่สมพงศ์กัน ฝ่าบาทก็จะทรงมีทางลง เรื่องนี้ก็เป็นอันจบแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงรังเกียจว่าบันไดนี้ทำจากไม้ผุ มีพระราชประสงค์จะได้บันไดหยก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา ใช้มือบิขนมที่สาวใช้ข้างๆ ยื่นมาให้ แล้วหยิบส่งให้เฉินวั่งซูชิ้นหนึ่ง “เจ้าเด็กตัวแสบ มีใครทำอะไรไม่ปรึกษาผู้ใหญ่เช่นนี้บ้าง ได้ยินท้องเจ้าร้องโครกครากนานแล้ว กินขนมรองท้องไปก่อนจะดีกว่า”
เฉินวั่งซูรับมากินทันทีอย่างไม่มีเกรงใจ นางถูกวุ้นซานจานั่นทำให้หงุดหงิดใจยิ่ง “เหตุใดท่านย่าต้องพูดเรื่องไทเฮาขึ้นมาด้วยเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเองก็ไม่แปลกใจ “เจ้าอายุยังน้อย ทั้งยังอยู่แต่ในเหย้าในเรือน จึงไม่รู้เรื่องเมื่อนมนานกาเลพวกนั้น หนุ่มสาวแคว้นต้าเฉินเรามีเพียงหลักพันหลักหมื่นเสียที่ใด คิดจะหาคนที่มีชะตาตกฟากรุ่งโรจน์เสริมส่งไทเฮาให้ได้สักคนนั้นมีอันใดยากกัน แล้วไยหามานานปานนี้ก็ยังหาไม่ได้ อันที่จริงน่ะ เรื่องหาคนมีชะตาตกฟากรุ่งโรจน์เป็นเรื่องเท็จ แต่หาพระธิดาให้ไทเฮาอีกคนต่างหากถึงจะเป็นเรื่องจริง”