เฉินวั่งซูอ้าปากหวอด้วยอารามประหลาดใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็ไม่ลีลา เล่าต่อไปว่า “หากไม่มีเรื่องนี้ ปฏิบัติตามแผนเจ้าก็ยังถอนหมั้นได้ แต่หลานสาวผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของข้ามิได้กระทำความผิดใด แล้วเหตุใดต้องแบกรับชื่อว่าถูกถอนหมั้นด้วยเล่า ที่เจ้าคิดก็มิได้ผิด เนื่องจากละอายพระทัย ฝ่าบาทอาจจะทรงชดเชยให้แก่สกุลเฉินเรา ย้ายบิดาเจ้าออกมาจากกรมพิธีการ แล้วทรงมอบหมายงานที่เป็นจริงเป็นจังให้ ทว่าวั่งซู…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกล่าวพลางทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “เจ้าต้องจำให้มั่น คำสัญญาปากเปล่าไม่มีประโยชน์ใดๆ ผลประโยชน์ที่คว้ามาไว้ในมือได้จึงจะเป็นของจริง พอรู้ว่าเจ้ามีความคิดจะถอนหมั้น ย่าก็คิดมาถึงขั้นนี้แล้ว ไทเฮามีพระประสูติกาลพระโอรสและพระธิดาอย่างละหนึ่งพระองค์ พระโอรสคือฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ห่างไปหลายปีก็ได้พระธิดามาในตอนชรา ก็คือองค์หญิงเป่าจู แต่ยังไม่ทันเติบใหญ่ก็สิ้นพระชนม์ไปก่อนวัยอันควร ไทเฮาพระชนมพรรษามากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทรงคะนึงหาองค์หญิงมากขึ้นเท่านั้น หลายปีมานี้กลัดกลุ้มพระทัยเป็นที่ยิ่ง
ฝ่าบาททรงกตัญญู มีพระราชประสงค์จะหาสตรีชั้นสูงที่เกิดในวันเดือนปีเดียวกันมาถวายไทเฮา หนึ่งเพื่อถวายปรนนิบัติไทเฮา สองเป็นเพราะในวังเคยมีไต้ซือทำนายไว้ว่าถ้าตัวแทนผู้นี้คัดคัมภีร์แทนองค์หญิงเป่าจู จะช่วยให้องค์หญิงได้เสด็จไปแดนสุขาวดีเร็วขึ้นและจะได้ไปเกิดในครอบครัวอันมั่งคั่ง”
เฉินวั่งซูไม่รู้เรื่องราวก่อนหน้า เมื่อครู่จึงไม่เข้าใจ แต่ฟังมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจึงยกมือชี้ตนเอง “ความหมายของท่านย่าคือหลานเกิดวันเดือนปีเดียวกันกับองค์หญิงเป่าจูพระองค์นั้น? แต่ว่ามิได้บอกไปก่อนหน้านี้จะมิใช่เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินส่ายศีรษะ “ในเมืองมีชนชั้นสูงอยู่เป็นโขยง แต่ละบ้านมีบุตรสาวเป็นแปดคนสิบคน ไม่แน่ว่าจะมีเจ้าที่สอดคล้องเกณฑ์เพียงผู้เดียว”
นางกล่าวพลางยกมุมปากยิ้มเย็น “พระธิดาของไทเฮา แม้จะมิได้มาจากพระอุทร แต่ขอแค่ทรงยอมรับก็เท่ากับได้เป็นพระขนิษฐาของฝ่าบาท ความสัมพันธ์ซับซ้อนในเรื่องนี้ไหนเลยจะแยกได้ชัดในเวลาเพียงประเดี๋ยวประด๋าว สมุดรายนามนั้นวางอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรของฝ่าบาทนานแล้ว แต่ผู้ที่ตัดสินพระทัยมิได้เสียทีก็คือฝ่าบาท พวกเราหลอกลวงเบื้องสูงเสียที่ใดกัน”
เฉินวั่งซูแจ้งใจในฉับพลันแล้วจึงปรบมือขึ้นมา ความนับถือที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าเฉินไหลท่วมท้นประดุจสายน้ำในแม่น้ำ
“ในช่วงนี้ไม่ว่าทำอย่างไรฝ่าบาทก็ล้วนจะดูเหมือนไม่สนพระทัยในอนุชนของขุนนางผู้มีความดีความชอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หากทรงให้หลานเป็นผู้ที่มีชะตาตกฟากรุ่งโรจน์นี้เพื่อทรงแสดงความกตัญญูต่อไทเฮา เช่นนั้นเรื่องทั้งหมดทั้งปวงก็จะดูเป็นการสมควรแล้ว นี่เป็นแค่บันไดหยกเสียที่ใดกัน นี่คือเส้นทางใหญ่อันเที่ยงธรรมน่ายกย่องที่ไต้ซือเคยเปิดทางสว่างให้เลยทีเดียว!” นางพูดพลางชูนิ้วหัวแม่มือ “ท่านย่ายิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกหลายตัว หนึ่งคือได้ช่วยถอนหมั้นให้หลานอย่างมีหน้ามีตา สองคือทำให้หลานได้มีไทเฮาเป็นที่พึ่ง สามคือหลานมีชะตาตกฟากเสริมส่งไทเฮา องค์ชายเจ็ดกลับมีชะตาพิฆาตกับหลาน…เห็นได้ว่าเป็นคนที่ไร้ชะตาฟ้าลิขิต…แม้แต่แค้นที่บุรุษต่ำช้าหยามหลานท่านย่าก็ยังคิดบัญชีด้วยกัน”
เฉินวั่งซูทอดถอนใจ นางมีอคติต่อคนในนิยายเรื่องนี้เกินไปจนพานจะดูถูกพวกเขาแล้วจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินได้ยินดังนี้ก็สบายใจยิ่งยวด แต่ทั้งๆ ที่ดีใจหน้าบานแล้วปากกลับกล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อย สามารถทำได้ถึงเพียงนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว อายุสี่สิบสิ้นสงสัย ห้าสิบเข้าใจชะตาฟ้าลิขิต หกสิบฟังสิ่งใดล้วนรื่นหู เจ็ดสิบทำทุกสิ่งได้ตามปรารถนาโดยมิละเมิดกฎ”
เฉินวั่งซูพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง ทันใดนั้นก็พลันตบหน้าผากตนเอง “ท่านย่า พระธิดาของไทเฮาเป็นพระขนิษฐาของฝ่าบาท พระขนิษฐาของฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดต้องเรียกนางว่ากระไร” นางพูดพลางมีท่าทางอยากรู้อยากลองขึ้นมา ก่อนจะตอบตนเองว่า “อาหญิง!”
ในเมื่อยังเร็วไปที่จะเรียก ‘บิดา’ เช่นนั้นก็ขอฟังเจียงเยี่ยเฉินผู้นั้นเรียกนางว่า ‘อา’ เป็นดอกเบี้ยก่อนก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน!
นางอดใจรอไม่ไหวแล้ว อยากจะให้ถึงวันนั้นแล้ว จะได้เห็นเจียงเยี่ยเฉินมีสีหน้ายุ่งเหยิงถึงขีดสุด!
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกรกฎาคม 66)