ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 192-194
บทที่ 194
มีบุตรชายในเร็ววัน!
มิใช่ต้องการยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้ผลไม้เสียบไม้หรือไร เช่นนั้นย่อมต้องตัดข้อต่อที่สำคัญที่สุดให้ขาดฉึบอย่างไร้ปรานี
มีบุตรชายนั้นดี แต่บุตรชายที่ใช้วิธีการร้อยแปดอย่างเพื่อพยายามจะคลอดออกมาให้ได้นั้นกลับชวนให้คนรำคาญใจ
หากเจ้าไม่มีความคิดก่อกบฏกระทำการอกตัญญูจะต้องการบุตรชายไปทำอะไร
เฉินวั่งซูหรี่ตา ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยม มิได้พูดอะไรต่อ
วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ ฮ่องเต้กับไทเฮาอยากสร้างบรรยากาศสันติสุขมาตั้งแต่ต้น ไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ หลิ่วอิงมิได้ตกเลือดสิ้นใจ เด็กในท้องนางยิ่งคลอดออกมาได้โดยปลอดภัย
ในเมื่อไม่เกิดเรื่องราวรุนแรงหรือมีคนถึงแก่ชีวิต ด้วยฝีมือด้านการประนีประนอมผ่อนปรนของฮ่องเต้ นั่นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก…เรื่องเล็กกลายเป็นให้แล้วกันไปอีกหรือ
“แม่ลูกปลอดภัยเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ” ฮ่องเต้ได้ยินก็พยักหน้าพึงพอใจ ก่อนมองไปยังเกามู่เฉิง “ปกติอัครมหาเสนาบดีเกาอยู่ที่บ้านอบรมสั่งสอนเจ้าอย่างไร ล่วงเกินผู้อาวุโสครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ยังก่อเรื่องวุ่นวายปานนี้ออกมาอีก
ในฐานะนายหญิงช่างไร้คุณธรรมโดยแท้ ในฐานะพี่สะใภ้ก็ใส่ร้ายป้ายสีน้องชายสามี ไม่ว่าหยิบเรื่องใดออกมามีเรื่องใดไม่ตรงกับเหตุให้หย่าเจ็ดประการบ้าง เด็กอย่างเจ้ามันเรียกว่าเหิมเกริม เห็นผู้อาวุโสรักใคร่เอ็นดูเข้าหน่อยจึงได้ก่อกรรมทำชั่วจนเป็นนิสัย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ฮองเฮา เจ้าหามามาในวังที่เข้มงวดกวดขันมาช่วยอบรมสั่งสอนพระชายาองค์ชายเจ็ดสักคน ให้นางเรียนกฎระเบียบใหม่ตั้งแต่ต้น เรียนจนเข้าใจดีเมื่อไรค่อยปล่อยตัวออกมา!”
เกามู่เฉิงอ้าปากพะงาบๆ ยังอยากจะแก้ตัวไม่ยอมแพ้ แต่เจียงเยี่ยเฉินที่อยู่ข้างๆ กลับขยับตัวมาบังเบื้องหน้านางเสียก่อน ถวายบังคมต่อฮ่องเต้ทันที “ลูกและมู่เฉิงจดจำรับสั่งของเสด็จพ่อไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ มู่เฉิงอายุยังน้อย เรื่องนี้เป็นเพราะชีหลางทำผิดต่อนาง นางเลอะเลือนไปชั่วครู่ถึงได้กระทำผิดไป ขอน้องแปดกับเซี่ยนจู่โปรดอภัยให้ด้วย นางแค่เผลอทำไข่มุกสองเม็ดตกลงพื้น หาได้มีใจต้องการทำร้ายใครไม่…”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็อยากจะยกนิ้วหัวแม่มือให้เจียงเยี่ยเฉิน เป็นยอดแห่งดอกไม้ขาวโดยแท้! เวลาโกหกหน้าไม่แดงแม้แต่น้อย!
นางกำลังเตรียมจะเอ่ยปากยกโทษให้ ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็จัดการเรื่องนี้ไปแล้ว คงไม่มีโทษหนักกว่านี้ตามมาอีก ตามเอาเรื่องต่อไปก็ไร้ความหมาย ทว่ากลับได้ยินเหยียนเจวี๋ยพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ตามที่องค์ชายเจ็ดตรัสมา ใส่ร้ายป้ายสีภรรยาของกระหม่อมตามอำเภอใจไปแล้ว แค่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจมาเช่นนี้ก็จบเรื่องได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
เขาพูดพลางมองไปยังเกามู่เฉิงที่หลบอยู่ด้านหลังเจียงเยี่ยเฉินด้วยสายตาคมกริบปานลูกธนู “เช่นนั้นก็ให้กระหม่อมลองแทงพระชายาองค์ชายเจ็ดสักที จากนั้นก็ขออภัยต่อท่าน บอกว่าตนเองมือลื่นแล้วก็หายกันเถิด”
หางตาเฉินวั่งซูเหลือบไปเห็นฮ่องเต้มีสีหน้าไม่สู้ดีแล้วจึงดึงแขนเสื้อเหยียนเจวี๋ยเล็กน้อย
เหยียนเจวี๋ยมองนางปราดหนึ่งก่อนประสานมือคารวะต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาทมีพระเมตตา มีพระมหากรุณาธิคุณต่อชนรุ่นหลัง ทรงไม่ถือสาหาความ ปล่อยผ่านไปง่ายๆ แต่เหยียนเจวี๋ยมิได้ใจดี วันหน้าหากมีใครเห็นภรรยากระหม่อมจิตใจดีงามแล้วมาข่มเหงรังแกนาง ก็อย่าหาว่าเหยียนเจวี๋ยไม่เกรงใจ”
หลังพูดจบเหยียนเจวี๋ยก็จูงมือเฉินวั่งซูที่กำลังอึ้งงันเดินกลับไปยังโต๊ะตนเอง เขามองอาหารบนโต๊ะปราดหนึ่งก่อนมุ่นหัวคิ้ว เรียกนางกำนัลที่รอรับใช้อยู่ข้างหลังมา บอกให้นางยกชาร้อนๆ มาถ้วยหนึ่งแล้วถึงยอมเลิกรา
ฉินเจ่าเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็แทบจะเหลือกตาไปถึงด้านหลัง บ่นใส่คนที่เพิ่งหาเรื่องใส่ตัวมา “นี่! ท่านไม่ชอบใจที่พี่สี่ของท่านอายุยืนเกินไปหรือไร”
มามาที่เป็นหมอตำแยยืนอยู่ตรงประตู เห็นว่าไม่มีใครสนใจตนเองแล้วก็ทำตัวลีบกระเถิบเข้าหาประตูอย่างวางตัวไม่ถูก
“ลำบากมามาแล้ว องค์ชายเจ็ดได้โอรสเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง พึงต้องตกรางวัล บัดนี้เป็นวันปีใหม่ เรื่องไม่พึงใจทั้งหมดทั้งปวงล้วนให้เป็นอดีตไป อย่ามัวเก็บมาใส่ใจเลย ผืนฟ้าปีใหม่นี้ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ราบรื่นสมประสงค์ บ้านเมืองสงบ ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขแน่นอน” ฮ่องเต้กล่าวคลี่คลายความขุ่นข้อง
“ขอฝ่าบาทมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง มีพระราชประสงค์สิ่งใดขอให้ทรงสำเร็จดังพระทัยทุกประการ”
คนในตำหนักใหญ่ต่างถวายบังคมเสียงดังกังวาน เกามู่เฉิงยอบตัวลงทั้งที่ยังอึ้งงัน เบือนหน้าไปมองเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ย เฉินวั่งซูก็ยิ้มท้าทายมาให้นางก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
วันปีใหม่มาถึงก็นับว่าเสร็จสิ้นการเฝ้าปี* แต่เนื่องจากไทเฮามีอายุมากแล้ว อดนอนจนฟ้าสว่างไม่ไหว ไม่กี่ปีมานี้ในวังจึงพระราชทานของขวัญปีใหม่แต่เนิ่นๆ จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ไปหามารดาใครมารดามัน งานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่นี้ก็นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว
เฉินวั่งซูเพิ่งจะขึ้นรถม้าก็มองเห็นหัวใหญ่ๆ สองหัวเบียดเข้ามาด้วยกัน
ฉินเจ่าเอ๋อร์นั่งลงตรงกลางระหว่างเหยียนเจวี๋ยกับเฉินวั่งซู บิดสะโพกเบียดเหยียนเจวี๋ยให้ขยับไปอีกข้าง ก่อนจะคล้องแขนเฉินวั่งซูไว้ด้วยท่าทางยินดีปรีดิ์เปรม “ยามนี้เลยเวลาเข้านอนไปแล้ว จะนอนก็นอนไม่หลับ ทั้งยังมีหิมะตกหนักอีก ข้ารู้จักสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่งที่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นได้ พวกเราไปกันเถอะ”
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปากอย่างหมดคำจะกล่าว “ท่านเพิ่งพูดเองว่าตอนนี้หิมะตกหนัก ไหนเลยจะยังเห็นดวงอาทิตย์ขึ้น”
“เจ้าพูดอ้อมค้อมเพียงนี้ไปเพื่ออะไร ท่านอาหญิงของข้าเป็นคนอิดเอื้อนหรือ อีกประการหนึ่งเจ้าพูดอ้อมไปอ้อมมาหลายครั้ง สมองของข้ากับเหยียนเจวี๋ยล้วนฟังไม่เข้าใจหรอก” องค์ชายสี่พูดพลางล้วงขวดสุราขวดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ “ฮะๆ ขโมยมาเมื่อครู่นี้ อย่ามาหาว่าข้าไม่แบ่งกับเจ้าเชียว”
เหยียนเจวี๋ยชี้เฉินวั่งซู “ท่านเรียกภรรยาข้าว่า ‘ท่านอาหญิง’ แล้วควรเรียกข้าว่าอย่างไร”
องค์ชายสี่ได้ยินก็ฟาดฝ่ามือมาทันที “ข้าเคยเห็นสภาพตอนเจ้าใส่ผ้าอ้อมมาแล้ว เจ้ายังคิดอยากเป็นอาเขยของข้าอีก!”
เหยียนเจวี๋ยยังไม่ทันโต้ตอบ ฉินเจ่าเอ๋อร์ก็เหลือกตาใส่แล้ว “พอได้แล้วกระมัง เหยียนเจวี๋ยเขาเคารพผู้อาวุโสเอ็นดูผู้น้อย เห็นท่านมีรอยย่นเต็มหน้าจึงทำใจชกท่านไม่ลง มิเช่นนั้นด้วยวรยุทธ์ของเขา อย่าว่าแต่ฟาดท่านจนท่านต้องเอ่ยปากเรียกอาเขยเลย ต่อให้ฟาดจนท่านต้องเรียกเขาว่าท่านปู่ก็ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อยนิด”
“เจ้าว่าอะไรนะ หาว่าข้าสู้เขาไม่ได้? ออกไปประลองกันตอนนี้เลยดีหรือไม่”
ฉินเจ่าเอ๋อร์โบกมือไปมา “ข้างนอกหนาวจะตาย ท่านอยากออกไปกลิ้งบนพื้นหิมะก็ไปเองแล้วกัน ทำมาพูดขู่ให้คนกลัว ไม่เห็นหรือว่าผู้อื่นล้วนคร้านจะสนใจท่านแล้ว…” นางหันมาหาเฉินวั่งซู “วั่งซู ไปกันเถอะ ข้าได้ยินว่าบนเขาลูกนั้นเวลาหิมะตกจะมีไก่ฟ้า** ปรากฏตัวให้เห็นจำนวนมาก ไก่ฟ้าระวังหัวไม่ระวังหาง ประเดี๋ยวเดียวก็จับได้แล้ว ขนบนตัวมันงดงามนัก ในนิยายมากมายที่ข้าอ่านเจอมีพูดถึงไก่ขอทาน*** พวกเราไปจับมาทำกินกันเถิด ท่านยังไม่เคยออกไปเที่ยวกับข้าเลยนี่ เฮ้อ รอเข้าฤดูใบไม้ผลิข้าก็ต้องแต่งงานแล้ว ถึงเวลานั้นอยากออกมาเที่ยวก็ไม่สะดวก”
องค์ชายสี่ได้ยินก็หัวเราะร่า “เจ้าอยากปีนเขากับข้าก็บอกมาตรงๆ ได้ ยังอุตส่าห์ลากท่านอาหญิงของข้ามาเกี่ยว…คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนังหน้าหนาปานนั้นยังขัดเขินเป็นด้วย!”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็มององค์ชายสี่หนหนึ่งอย่างเห็นใจ นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกพายุเข็มดอกสาลี่แทงจนมีสภาพเป็นเม่นแน่
การกระทำไวกว่าคำพูด ฉินเจ่าเอ๋อร์ได้ยกเท้าถีบออกไปอย่างปราศจากความลังเลแล้ว องค์ชายสี่ตกใจ หลบไปด้านข้าง แต่กลับชนถูกผนังรถม้าดังโครม
เขากุมหน้าผากร้องโวยวายขึ้นว่า “พวกเจ้าดูสิ พวกเจ้าดู อะไรเรียกว่าพิษร้ายที่สุดคือใจสตรี ท่านแม่ข้าดูเป็นคนชาญฉลาด แต่ไฉนต้องหาสะใภ้เช่นนี้มาแต่งกับข้าด้วย”
ฉินเจ่าเอ๋อร์แค่นเสียง “ท่านแม่ท่านหวังดีต่อท่าน เห็นว่าท่านได้กินกำปั้นน้อยไป จึงได้ตั้งใจเลือกหม่อมฉันมาจากคนนับหมื่นเพื่อมาต่อยท่าน!”
* เยี่ยกงชอบมังกร เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงคนที่ภายนอกแสดงออกว่าชอบของบางอย่าง แต่อันที่จริงไม่ได้ชอบและอาจถึงขั้นหวาดกลัว มีเรื่องเล่าว่าในสมัยชุนชิวมีนายอำเภออยู่คนหนึ่ง ผู้คนเรียกขานว่าเยี่ยกง เขาแสดงออกว่าชอบมังกรมาก ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ล้วนมีรูปมังกร มังกรตัวจริงบนฟ้าได้ยินเรื่องนี้จึงลงมาหาเขา ครั้นมาถึงก็ยื่นหัวเข้าไปทางหน้าต่าง เยี่ยกงเห็นแล้วกลับตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
* เจดีย์เหลยเฟิง เดิมถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 977 โดยกษัตริย์พระองค์หนึ่งของแคว้นอู๋เยวี่ย หนึ่งในสิบแคว้นของยุคห้าราชวงศ์สิบแคว้น ณ บริเวณเนินเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซีหู โดยจุดประสงค์หลักก็เพื่อเก็บรักษาพระเกศาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเฉลิมฉลองที่สนมเอกให้กำเนิดบุตรชาย แต่ด้วยเวลาที่ยาวนานทำให้เจดีย์องค์เดิมพังลงมา ต่อมาได้มีการสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ครอบเจดีย์องค์เดิม
* เฝ้าปี เป็นประเพณีหนึ่งของจีน โดยทุกคนจะอยู่โต้รุ่งเพื่อรอต้อนรับวันปีใหม่
** ไก่ฟ้ามีรูปร่างไล่เลี่ยกับไก่บ้าน มีจะงอยปากและขาที่แข็งแรงมาก ลักษณะเด่นคือตัวผู้จะมีหางยาวและสีสันสวยงามกว่าตัวเมีย ถือเป็นความแตกต่างระหว่างเพศอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยไก่ฟ้าบินได้เพียงระยะทางสั้นๆ ทำรังบนพื้นดิน กินเมล็ดพืช ผลไม้สุก และแมลงเป็นอาหาร
*** ไก่ขอทาน คืออาหารขึ้นชื่อของเมืองเจียงซู เป็นไก่ยัดไส้ที่ทำคล้ายกับเป็ดแปดสมบัติ หมักเครื่องปรุงรส ยัดไส้ด้วยขิง เห็ด และหน่อไม้ จากนั้นพอกด้วยดินเหลืองแล้วนำไปอบในกองฟาง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.