ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 195-197 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 195-197

บทที่ 196

เฉินวั่งซูใช้คางชี้เหยียนเจวี๋ย

เหยียนเจวี๋ยก็รีบอธิบาย “หลังวั่งซูพบไข่มุกเม็ดนั้นก็ส่งให้ข้า ข้าจึงทำเยี่ยงนี้…”

เหยียนเจวี๋ยพูดพลางล้วงเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ มององค์ชายสี่ทีหนึ่งก่อนดีดนิ้วเบาๆ…

ฉึบ!

องค์ชายสี่หน้าเปลี่ยนสี ก่อนล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อตนเอง เหรียญทองแดงที่อยู่ในมือเหยียนเจวี๋ยก่อนหน้านี้ได้เข้ามาอยู่ในแขนเสื้อของเขาแล้วจริงๆ เขาใช้นิ้วควานดู แขนเสื้อนั้นถึงกับขาดเป็นรูขนาดเท่าเหรียญ

อุบายพรรค์นี้ผู้ที่เชี่ยวชาญอาวุธลับสิบคนจึงจะมีหนึ่งคนที่ทำได้

ผ้ามีความอ่อนนุ่ม การจะกรีดมันให้ขาดแต่ไม่ทำให้ทะลุนั้นยากกว่าการฝังเหรียญทองแดงเข้ากับต้นไม้มาก

ยิ่งการทำให้ผู้ที่สวมอยู่นั้นไม่รู้สึกตัวก็มีเพียงยอดฝีมือหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่ทำได้

ทว่าเหยียนเจวี๋ยกลับทำได้อย่างง่ายดาย ราวกับเด็กเล่นดีดลูกหินก็มิปาน

องค์ชายสี่คิดแล้วก็พลันลุกขึ้นยืน ศีรษะจึงโขกกับเพดานรถม้า

เสียงนั้น…ลำพังเฉินวั่งซูได้ยินยังรู้สึกเจ็บเอง หากหัวขององค์ชายสี่เป็นแตงโม ป่านนี้คงแตกเป็นเสี่ยง เผยเนื้อสีแดงข้างในออกมาแล้ว

องค์ชายสี่กุมศีรษะ แต่กลับพูดกับเหยียนเจวี๋ยด้วยท่าทางจริงจัง “เหยียนเจวี๋ย หากวันหน้าข้าได้ครองราชย์ จะมอบกำลังพลทั่วใต้หล้าให้เจ้า วันที่ยึดดินแดนทางเหนือกลับคืนมาได้จะเป็นวันที่ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นอ๋อง”

เขาพูดได้จริงจังอย่างที่สุด ประหนึ่งว่าต้องการควักหัวใจออกมายืนยันก็มิปาน

เหยียนเจวี๋ยนิ่งงันไป ก่อนจะมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง เห็นนางไม่มีท่าทางคัดค้านก็ลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวก่อนกล่าวว่า “พี่สี่ หวังว่าท่านจะไม่ลืมวาจาที่เคยลั่นไว้ขณะอยู่ที่ชานเมืองเมื่อในอดีต”

องค์ชายสี่ชูมือขึ้นมา “ข้าสาบาน หากข้าลืมขอให้ฟ้าผ่าตาย!”

เหยียนเจวี๋ยส่ายศีรษะ “ท่านไม่ต้องสาบานต่อข้า วาจานั้นท่านก็มิได้พูดกับข้า ยิ่งไม่จำเป็นต้องให้ฟ้าผ่า แค่ไม่มีสิ่งใดให้ละอายใจก็เพียงพอแล้ว”

องค์ชายสี่ยังอยากจะพูดบางอย่าง แต่ฉินเจ่าเอ๋อร์กลับตวัดขาเตะมาแล้ว “ไม่เห็นหรือว่ารถม้าแล่นช้าลงแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจสั่งให้เฉิงอู่วนรถม้ากลับไปใหม่ได้…ท่านควรทำให้ตนเองเดินได้ตรงก่อน แล้วค่อยไปคิดถึงของจอมปลอมเหล่านั้น ผู้ใดพูดสัญญาปากเปล่าไม่เป็นบ้างเล่า หม่อมฉันก็พูดเป็น หากวันหน้าหม่อมฉันได้ครองราชย์จะแต่งตั้งวั่งซู…แต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา! วั่งซูยินดีหรือไม่” นางเอ่ยกับองค์ชายสี่ต่อ “อย่าเห็นว่าผู้อื่นเป็นคนโง่เชียวล่ะ ผู้อื่นไม่เปิดโปงท่านเท่ากับไว้หน้าท่าน หม่อมฉันคิดว่าหน้าของท่านใหญ่กว่าเกามู่เฉิงแล้ว!”

องค์ชายสี่ชะงักค้าง มองไปยังฉินเจ่าเอ๋อร์ด้วยความเดือดดาล “เจ้า!”

ฉินเจ่าเอ๋อร์สายตาเยียบเย็น “พูดความจริงไม่กี่คำท่านก็รับไม่ได้แล้ว? ปกติท่านมิใช่พูดกับผู้อื่นเยี่ยงนี้หรือไร ข้าวต้องกินทีละคำ ทางต้องเดินทีละก้าว หม่อมฉันไม่แยแสต่อสัญญาที่ท่านให้กับท่านพ่อของหม่อมฉัน เหยียนเจวี๋ยเองก็ไม่แยแสต่อบรรดาศักดิ์อ๋องอันไร้ค่านั่น เขาเป็นว่าที่ฮู่กั๋วกง หากตายไปย่อมจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องตามหลัง เขาแค่นอนรอความตายอยู่บนเตียงก็สามารถได้รับทุกอย่างที่ท่านสัญญาว่าจะให้มาอย่างง่ายดาย”

เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วอึ้งตะลึง พูดตามตรงเขาเพิ่งจะสารภาพรักกับเฉินวั่งซูไป ยังไม่อยากนอนรอความตายแม้แต่น้อย “แค่กๆ!”

ฉินเจ่าเอ๋อร์ได้ยินเสียงไอของเหยียนเจวี๋ย น้ำเสียงก็อ่อนลงหลายส่วน นางเอ่ยกับองค์ชายสี่ว่า “คำเตือนด้วยความหวังดีมักฟังขัดหู คนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ฉลาด หม่อมฉันมาหาวั่งซูก็เพราะในเมืองหลินอันไม่มีใครไม่รู้ว่าหม่อมฉันกับนางเป็นสหายสนิทกัน ที่ท่านกุลีกุจอตามมาก็มิใช่เพราะอยากให้คนเห็นว่าจวนฮู่กั๋วกงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับท่านหรือไร ไม่สิ คนในที่นี้นอกจากท่านก็ล้วนเป็นคนฉลาด พวกเราใจใสกระจ่างประดุจคันฉ่อง ถึงแม้ท่านจะโง่เหมือนเป็นลูกวัวน้อย แต่สาเหตุที่พวกเรายังไม่ถีบท่านลงรถม้าไปอีก นั่นเป็นเพราะบิดาของท่านให้กำเนิดแต่ผลแตงบูดๆ เบี้ยวๆ คัดไปคัดมาก็มีแค่ท่านที่ยังนับว่าได้สัดส่วนดี”

องค์ชายสี่นิ่งงันไป ก่อนจะคอตกเหมือนมะเขือที่มีน้ำค้างแข็งเกาะ “ข้านึกว่าพวกเราคิดเหมือนกัน”

ฉินเจ่าเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “เรื่องคิดน่ะคิดอยู่ ทว่าคนฉลาดเขาไม่มาโหวกเหวกโวยวายหรอก เขาจะไปลงมือทำจริงๆ ต่างหาก หม่อมฉันพูดมาเพียงนี้ก็มิใช่เพราะรู้สึกว่าท่านพูดผิดไป เรื่องบางเรื่องวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยไม่สะดวกจะพูด แต่หม่อมฉันพูดได้ ยึดดินแดนทางเหนือกลับคืนมาก็ดี จะฟื้นฟูแคว้นต้าเฉินก็ช่าง ล้วนมิใช่เรื่องที่แค่พูดปากเปล่าก็สามารถทำได้ ยิ่งมิใช่เรื่องที่แค่ปัดแข้งปัดขาชิงเอาตำแหน่งนั้นมาแล้วก็จะทำได้

คำว่า ‘ฮึกเหิม’ นั้นมีไว้สำหรับเหล่ากวีและโจร ท่านทำของจริงออกมาแล้วย่อมจะมีผู้แข็งแกร่งมาสวามิภักดิ์เอง มิใช่นั่งบนรถม้า ครั้นเห็นว่าญาติมิตรของท่านร้ายกาจก็จะชูธงลากคนเขาลงเรือมาด้วยให้ได้เช่นนี้ เหยียนเจวี๋ยวรยุทธ์ร้ายกาจอย่างหาได้ยากมากจริงๆ แต่แค่เพราะเขาร้ายกาจก็จะต้องมารับใช้ท่านแล้ว? ท่านอย่าประเมินตนเองสูงแล้วดูถูกผู้อื่นนักเลย”

เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยได้ยินแล้วมองหน้ากันเลิ่กลั่ก องค์ชายสี่ก้มหน้าเงียบอยู่เป็นนาน จวบจนรถม้าหยุดลงถึงได้เงยหน้าขึ้นมากล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านแม่ข้าถึงเลือกเจ้ามาเพียงผู้เดียว”

ฉินเจ่าเอ๋อร์แค่นเสียงอีกครั้ง จากนั้นก็แหวกม่านรถม้าแล้วกระโดดลงไปก่อน “ก็บอกแล้วว่าถูกใจที่หม่อมฉันเป็นเหมือนไม้ทุบผ้า สามารถทุบเรียกสติท่านได้ทุกวัน” นางหันไปเอ่ยกับเฉินวั่งซูต่อ “วั่งซู รออากาศอุ่นขึ้นสักหน่อย พวกเราไปปีนเขาด้วยกัน สถานที่ที่ข้าบอกนั้นดีจริงๆ ข้ายังมีเรือนอยู่บนเขาด้วย พอถึงฤดูใบไม้ผลิทัศนียภาพของที่นั่นจะเต็มไปด้วยดอกท้อ สายน้ำไหล ยังมีปลากุ้ยตัวอ้วนพี ช่างงดงามเหลือเกิน!”

เฉินวั่งซูได้ยินแล้วหนังศีรษะชาวาบ อย่าได้พูดถึงเรื่องดอกท้ออีกเลย…ขณะนางเพิ่งจะทะลุเข้ามาก็อยู่บนทางไปป่าท้อ ซ้ำยังมองเห็นว่าที่สามีของตนเองโอบกอดแม่นางดอกไม้ขาวด้วย

เชื่อเขาเลย!

ฉินเจ่าเอ๋อร์พูดพลางหาวหวอดก่อนเดินไปทางรถม้าของตนเอง เมื่อครู่ที่นางขึ้นรถม้าของเฉินวั่งซูรถม้าของตนเองก็แล่นตามอยู่ด้านหลัง

องค์ชายสี่เห็นนางเดินไปแล้วก็เกาศีรษะอย่างเก้อกระดาก “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ ข้าวู่วามไปแล้ว แต่คำที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ในใจข้าก็คิดเยี่ยงนี้เช่นกัน เจ้าเรียกขานข้าว่า ‘พี่สี่’ ข้าไม่หลอกเจ้าแน่”

เขาพูดจบก็กระโดดลงจากรถม้า ส่งเสียงโหวกเหวกว่า “หิมะตกหนัก ยามนี้ยังเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้าเป็นหญิงสาวตัวคนเดียว ข้าจะไปส่งเจ้า”

เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็นึกขัน นางปล่อยม่านรถม้าลง เฉิงอู่ตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนฮู่กั๋วกง

“สองคนนี้เป็นคู่กัดมาเจอกันของแท้! ตามความเห็นข้า วันหน้าเจ่าเอ๋อร์จะต้องจัดการองค์ชายสี่ได้อยู่หมัดแน่นอน”

เฉินวั่งซูพูดแล้วก็บิดขี้เกียจ ย่นคอน้อยๆ หิมะตกหนักขึ้นทุกที อากาศก็หนาวมากขึ้นแล้วเช่นกัน

เหยียนเจวี๋ยแตะเตาอุ่นมือของเฉินวั่งซู เห็นว่าเย็นแล้วก็ยื่นมือมากุมมือนางไว้ก่อนถูเบาๆ

“ข้าเคยไปชานเมืองกับองค์ชายสี่หนหนึ่ง ยามนั้นเขาเพิ่งจะกลับมาหลินอัน กำลังเป็นช่วงที่ชื่อเสียงเขาโด่งดังพรวดพราด ชาวบ้านจำนวนมากต่างนำสิ่งของของบ้านตนเองมาวางไว้หน้าประตูจวนของเขา”

เฉินวั่งซูตกตะลึงอยู่บ้าง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? แล้วไฉนจึงไม่มีใครส่งมาให้จวนฮู่กั๋วกงบ้างเล่า กล่าวถึงความดีความชอบในการศึก ท่านพ่อท่านมีมากกว่าเขานัก”

เหยียนเจวี๋ยกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย “นั่นมิใช่เพราะเมื่อก่อนข้าชั่วช้าเกินไปหรือไร ชาวบ้านไม่มาโยนหินใส่ก็ไม่เลวแล้ว”

เขาพูดพลางถอนหายใจ “เพิ่งจะผ่านพ้นภัยใหญ่ของแคว้นต้าเฉินมาเพียงสิบปี ปกติหากพูดถึงก็จะพูดเพียงเรื่องความร่วงโรยของราชวงศ์และความตกต่ำของตระกูลขุนนางใหญ่ ทว่าผู้ที่ลำบากที่สุดยังคงเป็นชาวบ้านสามัญชนเหล่านั้น”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com