ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 195-197
บทที่ 197
“ท่านพ่อข้าก็เป็นดั่งรูปปั้นหน้าประตู ถูกเล่าขานจนผิดเพี้ยนไปไม่น้อย เจ้าลองคิดดู บรรดากองทัพของแคว้นต้าเฉินในเวลานั้นล้วนถูกโจมตีพ่ายแพ้ยับเยิน จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฮู่กั๋วกงนำกองทัพที่ปล้นสุสานเป็นประจำกองหนึ่งมาต้านศัตรูไว้นอกประตูได้ เมื่อแรกฝ่าบาทเองก็ทรงหนีเตลิดไปทั่วสารทิศ ชาวเป่ยฉีปล้นชิงฆ่าคนวางเพลิงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แม้แต่ชาวบ้านในดินแดนทางใต้ก็หาได้รอดพ้นไม่ ต่อมาแคว้นต้าเฉินสร้างเมืองหลวงขึ้นที่เมืองหลินอัน สำหรับชาวบ้านทั่วไปในเมืองหลินอันก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องโชคดีอะไร”
ยุคโบราณนี้ไม่เหมือนกับโลกยุคปัจจุบันที่เมื่อสถานที่หนึ่งกลายเป็นเมืองหลวงแล้วชาวบ้านก็มีชีวิตอยู่ประหนึ่งใกล้ชิดฮ่องเต้ พอราคาบ้านสูงขึ้นก็สามารถนั่งกินนอนกินเหมือนเป็นรัชทายาทได้ชั่วชีวิต ซึ่งผู้คนในโลกยุคปัจจุบันนั้นต่างคุยกันด้วยเหตุผล บ้านและที่ดินเป็นของเจ้า หนีหายไปที่ใดไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าสภาพบ้านเมืองในยุคโบราณนี้ทั้งๆ ที่ล้วนเป็นคนเหมือนกัน แต่บุตรหลานชนชั้นสูงกลับสูงส่งกว่าชาวบ้านทั่วไป
บังคับซื้อบังคับขาย ใช้กำลังขู่เข็ญยึดครองที่ดินที่นา นี่ล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ
“รอบเมืองหลินอันมีผู้อพยพไม่น้อย ด่านชายแดนยังไม่อาจคลายความเข้มงวดกวดขัน บุรุษวัยฉกรรจ์ในบ้านต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน ชนชั้นสูงพอแต่งงานล้วนต้องมีที่นาร้านค้า ทว่าเมืองหลินอันใหญ่เท่านี้เอง ที่ดินโดยรอบก็มีเพียงเท่านั้น แล้วต้องไปหาที่ดินจากที่ใด สภาพบ้านเมืองในตอนนี้บางคนรวยล้นฟ้า บางคนแค่กางเกงตัวเดียวยังแทบอยากจะใส่ด้วยกันทั้งครอบครัว ภรรยากับข้าล้วนเกิดมามั่งคั่งสูงศักดิ์ ย่อมจะไม่เคยเห็นสภาพอันน่าสลดหดหู่ถึงขั้นนั้น”
เหยียนเจวี๋ยถอนหายใจ
“คราวนั้นองค์ชายสี่ได้รับการไหว้วานจากพี่น้องคนหนึ่งที่ชายแดนให้ไปเยี่ยมมารดาชราของเขาที่บ้าน ข้าเองก็มิใช่ลูกผู้สูงศักดิ์จอมสำมะเลเทเมาตัวจริง ไม่อยากจะไปอยู่กับพวกคนเสื่อมทรามเหล่านั้นในเมืองนี้จึงได้ตามเขาไปด้วย
พอไปถึงก็ให้เจ็บปวดใจนัก น้องชายที่ชายแดนผู้นั้นอายุเพิ่งจะสิบแปดปี มีพี่ชายหนึ่งคนกับน้องสาวหนึ่งคน บิดาถูกเกณฑ์เป็นทหารเมื่อหลายปีก่อนแล้วไม่เคยกลับจากสนามรบอีกเลย พี่สะใภ้ของเขาเพิ่งจะตั้งครรภ์ บุตรชายสองคนในบ้านต้องมีคนออกไปคนหนึ่ง เขาจึงอาสาไปเอง
เวลานั้นเขาเดินผ่านหน้ากระโจมขององค์ชายสี่จึงฝากเบี้ยหวัดให้องค์ชายสี่นำกลับมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในบ้านเขาจะเกิดเหตุเภทภัยขึ้น เมื่อปีกลายน้องสาวคนเล็กของเขาเกิดไปเข้าตาอันธพาลเข้า จึงถูกฉุดไปเพื่อจะให้เป็นอนุ
พี่ชายของเขาย่อมไม่ตกลงจึงเข้าไปคุยด้วย คิดไม่ถึงว่าจะถูกลูกสมุนของอันธพาลตีจนตายไปทั้งอย่างนั้น อันธพาลเห็นแล้วก็หวาดหวั่นอยู่บ้าง จึงส่งตัวน้องสาวผู้นั้นกลับมา
มารดาชราปวดใจจากการสูญเสียบุตรชายคนโต บุตรชายคนรองก็ไปเป็นทหาร จึงล้มหมอนนอนเสื่อแทบจะทันที ทั้งบ้านต้องขายที่นาถึงสามารถจัดงานศพให้เรียบร้อยและรักษาอาการป่วยให้มารดาชราได้ พี่สะใภ้อายุยังน้อย บ้านเดิมมารับตัวนางกลับไป ทิ้งทารกอายุเพียงเดือนเดียวไว้
น้องสาวผู้นั้นเสียพรหมจรรย์ไปแล้ว ในละแวกหมู่บ้านมีใครไม่รู้บ้าง จึงถูกผู้คนติฉินนินทา มักจะมีพวกอันธพาลมาหาเรื่องอยู่หน้าประตูเป็นประจำ นางอยากจะผูกคอตายอยู่หลายครา แต่ในบ้านยังมีทั้งเด็กและคนชราจึงตัดสินใจไม่แต่งงานชั่วชีวิต แบกรับภาระดูแลครอบครัวเพียงลำพัง ชีวิตลำเค็ญเหลือแสน”
เฉินวั่งซูฟังแล้วตกใจ
แม้ว่ากองทัพแคว้นต้าเฉินจะอ่อนแอ แต่อย่างน้อยชาวบ้านตามตรอกตามถนนในเมืองหลินอันก็ล้วนอยู่ดีกินดี ดูอุดมสมบูรณ์พอสมควร หนึ่งเป็นเพราะหลังจากเฉินวั่งซูมาที่นี่ก็อาศัยอยู่ในจวนเป็นส่วนใหญ่ สองเป็นเพราะนางคิดอยู่ตลอดว่านี่เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น
หลังเล่นงานองค์ชายเจ็ดจนต้องคุกเข่าเรียกนางว่าบิดาแล้วนางก็จะกลับไป ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นมิใช่เรื่องที่ถูกเขียนไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือไร นางไม่ใช่แม่พระเสียหน่อย บรรดาชาวบ้านมีข้าวกินหรือไม่ มีชีวิตสุขสบายหรือไม่ นั่นล้วนเป็นหน้าที่ของฮ่องเต้ เกี่ยวอะไรกับนาง
เรื่องบางเรื่องไม่ไปเห็นด้วยตนเองก็ยากยิ่งที่จะเกิดความรู้สึกร่วม
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง “หลังจากนั้นเล่า คนครอบครัวนี้เป็นอย่างไรแล้ว”
เหยียนเจวี๋ยถอนหายใจ “แม้องค์ชายสี่จะมุทะลุวู่วามอยู่บ้าง แต่ยังนับว่ามีจิตใจดี เขาหาร้านค้าของตนเองมาร้านหนึ่ง แล้วบอกให้น้องสาวผู้นั้นไปทำงานเป็นช่างปักผ้า ทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในโรงปักผ้า มารดาชราทำงานเย็บปะซักล้าง พอจะหาเงินมาใช้จ่ายได้บ้างและยังสามารถดูแลทารกน้อยผู้นั้นได้ เงินทองที่ทางร้านให้ก็มิได้มากเท่าไร อีกทั้งทางเหล่าเด็กกำพร้าและแม่ม่ายเองก็รับไว้มากไม่ไหว นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายครอบครัวที่ถูกพวกข้าบังเอิญไปพบเห็นเข้า แล้วที่เหลือเล่า องค์ชายสี่รู้สึกสะเทือนใจจึงสาบานในตอนนั้นว่าภายภาคหน้าหากไม่เป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชาสามารถก็จะเป็นอ๋องผู้มีคุณธรรม ราษฎรในแคว้นต้าเฉินคนแก่มีที่พึ่งพิง เด็กกำพร้ามีคนเลี้ยงดู ชาวบ้านมีที่นาเพาะปลูก เหล่าทหารก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทางบ้าน”
เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว มิได้พูดอันใด
เหยียนเจวี๋ยมองความคิดของนางออกในแวบเดียว “ฉินเจ่าเอ๋อร์พูดได้ไม่ผิด องค์ชายสี่เองก็ดูเป็นโรคเด็ก ม.สอง อยู่หน่อยๆ คิดว่าตนเองเป็นพระเอกเลือดร้อนที่สามารถช่วยกอบกู้โลกได้…ถูกหรือไม่ ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น กลับคิดจะสงเคราะห์ผู้คนในใต้หล้า ทว่าแคว้นต้าเฉินเน่าเฟะไปแล้ว ข้าคิดว่าในเวลานี้สมควรมีคนที่ไม่ชนกำแพงไม่ยอมหันหลังกลับ* ยังคงเชื่อว่าตนเองจะต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้แน่นอนอยู่สักหนึ่งคน ความกระตือรือร้นเช่นนี้น่าชื่นชมยิ่งยวด”
เหยียนเจวี๋ยพูดพลางจับมือเฉินวั่งซูขึ้นมา เป่าลมอุ่นใส่ฝ่ามือนาง ก่อนจะถูไปมาเล็กน้อย “พวกเรายังอายุน้อย หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันคงจะต้องอยู่ที่แคว้นต้าเฉินนี้ไปชั่วชีวิตแล้ว ลูกๆ หลานๆ ของพวกเราก็ล้วนต้องอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน หากปล่อยไปไม่สนใจแล้วอนาคตจะเป็นเยี่ยงไร พอท่านพ่อข้าตายไป ชายแดนไม่มีเสาหลักต้นใหม่ แคว้นต้าเฉินก็ต้องล่มสลายแล้ว ฝ่าบาททรงจ้องสมบัติในมือข้าตาเป็นมัน แทบอยากจะฆ่าข้าให้ตาย พวกเราไม่อาจนั่งรอความตายได้ นกที่ดีรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ** ในบรรดาผลแตงบิดเบี้ยวเหล่านั้นมีเพียงองค์ชายสี่ที่พอจะมีน้ำใสใจจริง พึ่งพาได้ แม้ในเวลานี้เขาจะยังมีปัญหาอยู่มากมาย แต่ถ้ามีคนช่วยแก้ไขประคับประคอง ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจจะกลายเป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชาสามารถและทรงคุณธรรมก็เป็นได้”
เฉินวั่งซูพยักหน้าลวกๆ
นางไม่กล้าพูดว่าในใจนางมีสมุดเล่มเล็กอยู่เล่มหนึ่ง เขียนเรื่องเจ้าหนูหมายเลขหนึ่งถึงแปดไว้ครบถ้วนหมดแล้ว
เหยียนเจวี๋ยยกมือลูบศีรษะเฉินวั่งซูก่อนกล่าวยิ้มๆ “ข้ารู้ว่าภรรยาแตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ใส่ใจเรื่องหลักจรรยาเหล่านั้น มิเช่นนั้นเมื่อก่อนก็คงไม่ตัดสินใจแปลกๆ ออกมามากมายปานนั้น ข้าเหยียนเจวี๋ยเองก็มิได้เป็นคนไม่มีความมุ่งมาด เพียงแต่การเป็นฮ่องเต้ไม่สามารถเทียบกับเรื่องอื่นๆ ได้ คราวก่อนที่ภรรยาถามข้า ข้าตอบว่าอย่างไร คราวนี้ก็ยังเหมือนเดิม…การโค่นล้มแคว้นต้าเฉินแล้วตั้งตนเป็นฮ่องเต้เองใช่จะไม่สามารถ ใช่จะทำไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าตนเองยังอ่อนด้อยอยู่มากนัก เพราะว่ารู้…ข้าจึงได้มีใจเกรงกลัวต่อโลกใบนี้”
เหยียนเจวี๋ยพูดพลางกะพริบตา “อีกประการหนึ่งหากข้าเป็นฮ่องเต้ มีภรรยาอยู่เช่นนี้เกรงว่าผู้เป็นโอรสสวรรค์คงไม่ได้ออกว่าราชการกระมัง…มิหนำซ้ำฮ่องเต้ล้วนต้องมีสนมชายามากมาย แม้ตัวข้าเหยียนเจวี๋ยสามารถครองคู่กันสองคนได้ชั่วชีวิต แต่ก็ไม่อยากให้ภรรยาต้องลำบากและยุ่งยากใจกับเรื่องพรรค์นี้ เวลายอดดวงใจแย้มยิ้มน่ามองเป็นพิเศษ ข้าหวังว่าเจ้าจะยิ้มได้ตลอดไป”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ลูบตุ่มหนังไก่บนแขนของตนเอง “พอได้แล้ว ท่านไม่ขนลุกบ้างหรือไร!”
เหยียนเจวี๋ยหัวเราะ “รอใต้หล้ามีสันติและไม่มีใครคิดลอบสังหารข้าในทุกวันแล้ว ข้าจะพาภรรยาท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ จะได้ไม่มาที่นี่อย่างเสียเที่ยว”
* สายลมบุปผาหิมะจันทรา หมายถึงความรัก ความสัมพันธ์ แรงปรารถนาที่มีของหนุ่มสาว
* ไม่ชนกำแพงไม่ยอมหันหลังกลับ หมายถึงดื้อรั้นมาก หากไม่ถึงที่สุดหรือไม่เจอความพ่ายแพ้ก็จะไม่ยอมถอยหรือเปลี่ยนวิธีการ
** นกที่ดีรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ เป็นสำนวน หมายถึงผู้มีความสามารถต้องรู้จักเลือกเจ้านาย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.