ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 198-200
บทที่ 200
กระดาษจดหมายบางๆ หน้าเดียว เขียนตัวหนังสือสีอ่อนๆ ไว้ไม่กี่บรรทัด
“ข้าจำตัวอักษรนี้ได้ เป็นลายมือของท่านปู่ข้ามิผิดแน่ กระดาษเป็นสีเหลืองแล้ว เห็นได้ชัดว่าวางทิ้งไว้มานาน ในหมึกมีกลิ่นหอมเจืออยู่ นี่เป็นกลิ่นที่ท่านปู่ข้าผสมขึ้นเองในสมัยนั้น”
เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว จดหมายไม่ซับซ้อน แทบจะกวาดตาทีเดียวก็อ่านจบแล้ว
“ลูกสามยังอยู่ เหนือใต้มองไกล ฝาแฝดจิ้งเหยียน จริงปลอมอยู่ตรงหน้า ไร้อักษรต้องแสวงหา คนในสำนักเต๋า” เฉินวั่งซูอ่านออกเสียงเบาๆ “ดูเหมือนจะเป็นคำพยากรณ์ที่ท่านปู่ข้าเขียนเอาไว้หลังจากทำการทำนาย”
“ประโยคแรกเข้าใจง่ายยิ่ง น่าจะบอกว่าท่านอาสามของเจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลก เหนือใต้มองไกล…พวกเราอยู่ใต้ เขาอยู่เหนือ…หากอยากตามหาตัวเขาควรต้องมุ่งไปทางเหนือ”
เหยียนเจวี๋ยรับจดหมายไปเริ่มลองวิเคราะห์ดู
“คำว่า ‘เหยียน’ นี้ข้ารู้ น่าจะหมายถึงข้า มิเช่นนั้นท่านปู่เจ้าก็คงไม่เขียนชื่อของข้าลงบนซองจดหมาย แต่ว่า ‘จิ้ง’ คือผู้ใด ฝาแฝด? ตามที่ข้ารู้มา ตอนโน้นหมอหญิงให้กำเนิดลูกเพียงคนเดียว เหยียนเจวี๋ยไม่มีพี่น้องฝาแฝดแน่นอน”
เฉินวั่งซูเองก็งงงวยยิ่งยวด แย่งจดหมายกลับมายัดเข้าซองอย่างหมดคำจะกล่าว “คนของสำนักเต๋าพวกนี้ชอบพูดจาเป็นปริศนา มีเรื่องอะไรพูดมาตรงๆ ไม่ได้หรือไร ปริศนาข้อแรกยังไม่ทันไขได้ก็มีมาอีกข้อแล้ว ท่านเคยได้ยินเรื่องราวของวานรหกหู* กับซุนอู้คงหรือไม่ คำว่า ‘ฝาแฝด’ นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงพี่น้องฝาแฝดจากมารดาคนเดียวกัน มิเช่นนั้นไยข้างหลังจึงพูดถึงเรื่องจริงปลอม!”
บ้าจริง! คงมิใช่ว่าโลกนี้ยังมีคนงามที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเหยียนเจวี๋ยทุกกระเบียดนิ้วอยู่อีกคนหรอกนะ หากได้มาโอบกอดทั้งซ้ายและขวา ภาพนั้น…เฉินวั่งซูคิดพลางยกมือปิดจมูก บาปกรรมๆ…
เหยียนเจวี๋ยมองความคิดในใจนางออกได้ในแวบเดียวจึงตบศีรษะนางเบาๆ “เจ้าคิดเสียสวยหรูเชียวนะ ไยพอมาถึงยอดดวงใจข้า ภาพที่ได้กลับแตกต่างจากหญิงสาวนางอื่นคนละเรื่อง หญิงสาวนางอื่นล้วนกังวลว่าสามีจะมีหญิงอื่น ตัวข้าเหยียนเจวี๋ยกลับประเสริฐนัก วันๆ ต้องคอยวิตกว่ายอดดวงใจจะอ้าแขนกว้างรับคนงามเพิ่ม…”
เฉินวั่งซูสำลักพรวดออกมาก่อนยิ้มเจื่อน
นางเป็นคนปากกล้าขาสั่น แค่คิดภาพสักหน่อยก็ไม่ได้หรือ
เหยียนเจวี๋ยกลับมิได้บีบให้นางจนมุม พูดเรื่องเป็นงานเป็นการต่ออีกว่า “เรื่องที่เจ้าพูดมีความเป็นไปได้มาก ดูจากคำว่า ‘อยู่ตรงหน้า’…ผู้ที่แยกแยะจริงปลอมได้น่าจะอยู่ไม่ไกลตัวข้าแล้ว นี่น่าจะเป็นวิธีไขความจริงที่ท่านปู่ของเจ้าบอกพวกเรา”
เฉินวั่งซูพยักหน้า “ประโยคที่สามนี้ไร้ที่มาที่ไปที่สุด เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวข้าเองก็คิดต้นสายปลายเหตุไม่ออก รอกลับมาในวันพรุ่งนี้ค่อยนำไปให้ท่านย่าข้าดู เรื่องท่านอาสามยังมีชีวิตอยู่ต้องบอกให้นางรู้จึงจะถูก”
เฉินวั่งซูพูดจบก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เรื่องอาคมคุณไสยพวกนี้เป็นสิ่งไม่ดี นางหลงงมงายไปแล้ว
“ต่อให้เป็นการทำนาย แต่เรื่องที่ควรบอกก็ยังต้องบอก”
ส่วนกุญแจทองเหลืองที่ดูธรรมดาดอกนั้นเฉินวั่งซูยิ่งไม่แม้แต่จะมอง เก็บมันไปพร้อมตำราสวรรค์ไร้อักษรและจดหมาย รวมไว้ด้วยกันทั้งหมด พวกนางยังไขความกระจ่างเรื่องกุญแจหยกแคล้วคลาดอันนั้นของเหยียนเจวี๋ยไม่ได้เลย ตรงนี้กลับมีลูกกุญแจมาอีกดอกแล้ว
วุ่นวายใจไปก็ไม่มีประโยชน์ รอได้เห็นแม่กุญแจนั้นแล้วลูกกุญแจย่อมจะได้ใช้เอง
กว่านางจะเก็บข้าวของทั้งหมดเรียบร้อยรถม้าก็แล่นมาถึงตีนเขาแล้ว
เพิ่งจะลงจากรถม้าเฉินวั่งซูก็หนาวจนตัวสั่น เหยียนเจวี๋ยกระโดดตามมา ก่อนยกมือจับหมวกเสื้อคลุมมาสวมให้เฉินวั่งซู
เขายื่นมือมาจับจูงมือเฉินวั่งซูไว้หลวมๆ มืออีกข้างแบกแผ่นกระดานที่ใหญ่เหมือนเรือพายนั้นไว้ “ยอดดวงใจ ไปกันเถิด”
เฉินวั่งซูสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง แม้แต่อากาศก็ยังหนาวเย็น สูดเข้าไปแล้วรู้สึกปลอดโปร่งเป็นพิเศษประหนึ่งว่าใช้น้ำมันสมุนไพรละเลงศีรษะก็มิปาน
“มู่จิ่น เจ้าไม่ไปด้วยกันหรือ”
มู่จิ่นมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง นางอยากไปด้วย แต่ไม่เห็นหรือว่าในรอยยิ้มของกั๋วกงน้อยมีแววข่มขู่แฝงอยู่
“คุณหนู บ่าวไม่ไปเจ้าค่ะ ท่านจะพกผืนหนังไปด้วยสักผืนหรือไม่ ไป๋ฉือบอกแล้วว่าถ้าไม่รองด้วยผืนหนัง นอนบนพื้นหิมะโดยตรงจะถูกความเย็นเข้าได้”
เฉินวั่งซูหน้าแดง ดึงมือเหยียนเจวี๋ยเดินหนีไปอย่างลุกลี้ลุกลน
นี่มันฤดูหนาว ในหัวนางไม่ได้มีสีเหลือง* ซึมเข้ามาสักหน่อย จะไปนอนบนพื้นหิมะทำอะไร
เหยียนเจวี๋ยเห็นแล้วก็หัวเราะเบาๆ
เฉินวั่งซูได้ยินก็โกรธ กำหิมะที่สะสมอยู่บนพุ่มไม้ด้านข้างมาแล้วหันไปปาใส่เขา
เหยียนเจวี๋ยเอียงศีรษะหลบ หิมะกำนั้นก็ตกกระจายลงด้านข้างเขา
“แค่กๆ สถานที่ที่ใช้เล่นไถลหิมะตามที่ข้าบอกอยู่บนยอดเขา หากเจ้ากลัวก็นั่งบนกระดาน ข้าจะคอยป้องกันอยู่ข้างหลังเจ้า พอเล่นจนคล่องแล้วเจ้าจะยืนเล่นก็ได้ แม้ว่าเมื่อก่อนเจ้าจะเคยหัดเล่นสโนว์บอร์ด แต่จะอย่างไรก็ผ่านมานานมากแล้ว ระวังไว้บ้างดีกว่า”
“ขี้บ่น! ข้ารู้แล้วน่า!” เฉินวั่งซูแค่นเสียงก่อนเดินขึ้นเขาไป
“นี่! มิใช่บอกว่าวันนี้อากาศดีหรือไร นี่เรียกว่าดีแล้ว?”
เฉินวั่งซูหรี่ตา คายเกล็ดหิมะออกมา แทบอยากจะเอาเข็มเงินมาเย็บปิดหมวกเสื้อคลุม แล้วเว้นช่องเล็กๆ ให้เหลือแค่ตาไว้มองทางก็พอ
ขณะพวกนางเพิ่งจะขึ้นเขาอากาศยังดีอยู่ มองเห็นดวงอาทิตย์ที่เริ่มจะโผล่มารำไรแล้ว เหยียนเจวี๋ยยังเป็นห่วงว่าหิมะจะละลายแล้วเล่นไม่ได้อยู่เลย กลับคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าพวกนางเพิ่งจะปีนถึงยอดเขา ยังไม่ทันวางกระดานลงก็มีทั้งลมทั้งหิมะพัดมาแล้ว ทำเอาคนลืมตาไม่ขึ้น
เฉินวั่งซูหมดคำจะเอ่ยอยู่บ้าง หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเยี่ยงนี้ สู้หมกตัวผิงไฟแทะเมล็ดแตงเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ในห้องยังดีเสียกว่า
เหยียนเจวี๋ยเช็ดหน้าของเฉินวั่งซูอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะวางกระดานลงบนพื้น “ข้านั่งข้างหน้า บังลมบังหิมะให้ ส่วนเจ้านั่งข้างหลัง เอาหน้าซุกกับหลังข้า ข้ากล้ารับรองว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกสนุกแล้ว”
เฉินวั่งซูพยักหน้าส่งๆ นี่เป็นกระบวนการนัดเดตของหนุ่มน้อย ม.สอง อะไรกัน ดาราสาวห่วงว่าผมตนเองจะยุ่งต่างหาก ไม่เข้าใจหรือ!
นางเพิ่งจะนั่งลงก็รู้สึกว่าร่างกายสูญเสียน้ำหนักในฉับพลัน กระดานแผ่นนั้นลอยฟิ้วออกไปประหนึ่งรถไฟเหาะ
สายลมพัดอู้ๆ จนหมวกเสื้อคลุมนางเปิดขึ้น นางอยากจะเอื้อมมือคว้าหมวกไว้ กลับไม่กล้าปล่อยมือ ทำได้เพียงกอดเอวเหยียนเจวี๋ยเอาไว้แน่นๆ
“เฉินวั่งซู!” เหยียนเจวี๋ยพลันตะโกนออกมา “ลืมตาสิ ไม่ต้องกลัว หากพลิกคว่ำขึ้นมา ข้ามีวรยุทธ์ ไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรแน่นอน” เขาพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “วั่งซู เจ้าดูสิ มีไก่ฟ้าถูกทำให้ตกใจจนบินขึ้นมาแล้ว”
เฉินวั่งซูถูกเขาโน้มน้าวสำเร็จจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ สายลมพัดปะทะใบหน้า ไหนเลยจะเย็นแค่ระดับใช้น้ำมันสมุนไพรละเลงศีรษะ นี่เป็นระดับจับนางใส่กระปุกสะระแหน่แล้วแช่ไว้หนึ่งพันปีชัดๆ!
นางค่อยๆ ลืมตามอง เขาลูกนี้มีต้นไม้น้อยยิ่ง รอบข้างกว้างใหญ่ไพศาลเป็นพิเศษ มองเห็นที่นาในหมู่บ้านและแม่น้ำสายเล็กที่ตีนเขาได้ลิบๆ ทำให้คนรู้สึกจิตใจเบิกบานเปิดกว้างขึ้นมาด้วย
“คุกเข่าเรียกบิดา!” เฉินวั่งซูตะโกนความปรารถนาชั่วชีวิตของตนเองออกมา
มือของเหยียนเจวี๋ยที่กุมเชือกอยู่เกิดลื่นกะทันหัน กระดานเอียงพุ่งลอยไปข้างๆ หลุดออกจากเส้นทางที่กำหนดไว้…
บ้าจริงเชียว! เฉินวั่งซูตะโกนลั่นในใจ “กระโดดออกกันได้แล้วเหยียนเจวี๋ย!”
เหยียนเจวี๋ยมิได้ลนลาน ครั้นเห็นว่ากระดานควบคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ เขาจึงปล่อยมือ ช้อนตัวเฉินวั่งซู แล้วก็ใช้เท้าสะกิดพื้นลอยตัวขึ้น
“ประเดี๋ยวก่อน ท่านไม่เห็นหรือว่าทางนี้เป็นหน้าผาชัน”
หากเจ้าคนผู้นี้ยังทำเป็นเท่ไม่รีบไม่ร้อนเยี่ยงนี้ พวกเราสองคนก็ต้องร่วงไปล่างเขาแล้ว ไม่เห็นหรือว่ากำลังตกลงไปแล้ว!
เหยียนเจวี๋ยก้มหน้ามอง คำว่า ‘แย่แล้ว’ ติดอยู่ในลำคอ
เขาโอบเฉินวั่งซูไว้แน่น เท้าสะกิดผนังผาเบาๆ กระโดดไปยังพื้นที่ราบบนเขา
“วั่งซู ไม่เป็นไรกระมัง”
เฉินวั่งซูตบหน้าอกอย่างเสียวสันหลังวาบ ก่อนกระโดดออกจากอ้อมแขนเหยียนเจวี๋ย “ฮ่าๆ ไม่เป็นไร รู้สึกว่าสบายตัวสบายใจแล้ว”
เสียงนางจะเพิ่งจะเงียบลงก็ได้ยินเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังมาจากข้างใต้เท้า “ท่านอาหญิง ท่านสบายหรือไม่สบายข้าไม่รู้ แต่ตอนนี้ข้ากินหิมะเต็มปาก หายใจไม่สบายอย่างยิ่ง!”
* วานรหกหู เป็นลิงอีกประเภทหนึ่งที่มีลักษณะทางกาย อิทธิฤทธิ์ รวมถึงจิตวิญญาณเหมือนซุนอู้คงแทบทุกอย่าง มีหูที่ฟังเสียงได้ถึงพันหลี่ ชำนาญการฟัง รู้เรื่องสารพัดชัดแจ้ง ใครพูดอะไรสามารถรับรู้ได้ กระจ่างในสรรพสิ่ง
* คนจีนใช้คำว่าสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของสื่อลามกหรือสิ่งกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.