บทที่ 3
เฉินวั่งซูเห็นระบบเงียบไปก็รู้สึกแน่ใจถึงแปดเก้าส่วน
เห็นทีนางจะคิดไม่ผิด ขอเพียงองค์ชายเจ็ดนึกเสียใจก็เป็นอันใช้ได้ ส่วนเขาจะนึกเสียใจที่ตนเองตามืดบอด โปรดปรานอนุทอดทิ้งภรรยา หรือว่าถูกเฉินวั่งซูตบหน้าเพียะๆ จนนึกเสียใจที่ล่วงเกินนาง…จะอย่างใดก็ได้ทั้งนั้น
ผ่านไปเป็นนานระบบถึงได้พูดขึ้นว่า ‘เรื่องนี้มีระดับความยากสูงมาก คุณคิดดีแล้วหรือไม่’
เฉินวั่งซูปรับสีหน้าให้เป็นงานเป็นการก่อนจะกล่าวว่า ‘แม้จะได้อยู่ด้วยกันไม่นาน แต่คนสกุลเฉินซื่อตรงอย่างมาก เฉินวั่งซูก็มิได้ชอบพอในตัวองค์ชายเจ็ด ชาติก่อนยังสะอิดสะเอียนไม่พออีกหรือ ยังอยากให้ตนเองสะอิดสะเอียนต่ออีกรอบ? การล้างตัวให้ชายเส็งเคร็งเป็นงานของน้ำยาล้างห้องน้ำ การกล่อมเกลาชายเส็งเคร็ง ทำให้เขากลับตัวกลับใจเป็นงานของพระพุทธองค์ ปุถุชนคนอ่อนแออย่างฉันอย่าไปทำจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าของเขาให้อยากอาเจียน เกิดใครมาเห็นเข้าจะนึกว่าฉันแพ้ท้องตลอดสามร้อยหกสิบห้าวัน’
เฉินวั่งซูพูดเองก็ขำเอง
‘ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้คิดอย่างนี้…’ เสียงอิเล็กทรอนิกส์ของระบบทำให้เฉินวั่งซูฟังแล้วถึงกับหมดคำกล่าว
เฉินวั่งซูลูบคาง มองจุดที่เหยียนเจวี๋ยยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ‘อืม จะโทษก็ต้องโทษที่ตัวร้ายหล่อเหลาเกินไป!’
ไม่ใช่นางหลงใหลในความงามจนหน้ามืดตามัวหรอกนะ
ตำนานหลิ่วอิงนั้นยาวยิ่ง ได้ชื่อว่าเป็นมหากาพย์ของสตรี ไม่รู้ว่านางต้องอยู่ที่นี่ถึงกี่ปี ในเมื่อมีหนทางสายที่สองแล้วไยต้องยอมอดทนอดกลั้น อย่างน้อยถ้าเกิดล้มเหลวขึ้นมาแล้วยังมีคนงามอยู่ในอ้อมอก นั่นก็ไม่เลวร้ายนัก
“เมื่อครู่ข้าเผลอทำไม้หล่นใส่ศีรษะคุณชายเหยียน เขาก็ไม่ได้โกรธเคือง ไม่เห็นมีทิฐิทะนงตนเหมือนอย่างคำเล่าลือ” เฉินวั่งซูเก็บสายตากลับมา เลิกทำอวดเก่ง ปล่อยเรื่องเปิดหน้าต่างให้เป็นหน้าที่ของสาวใช้ ส่วนตนเองก็กลับมานั่งลงข้างหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อได้ยินคำพูดนี้ก็มุ่นหัวคิ้ว กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “นั่นเป็นพวกกระสอบหญ้าปักลายบุปผา มีคำกล่าวว่าบิดาพยัคฆ์ไม่ให้กำเนิดบุตรสุนัข แม้แม่ทัพเหยียนจะมีชาติกำเนิดไม่สูงนัก แต่ก็เป็นวีรบุรุษ
เหยียนเจวี๋ยกลับดีนัก เกิดมาได้สิบหกปีกลับไม่เคยทำเรื่องเป็นโล้เป็นพายแม้แต่เรื่องเดียว ทำให้บิดาเขาขายหน้าจนสิ้นแล้ว มิเช่นนั้นเขาเป็นถึงบุตรชายคนโตสายตรง แล้วเหตุใดผู้คนถึงไม่ค่อยอยากจะเรียกเขาว่ากั๋วกงน้อยเล่า”
เฉินวั่งซูอึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
เหยียนเจวี๋ยไม่เสียแรงที่เป็นยอดตัวร้าย แม้แต่สตรีที่อยู่เรือนหลังอย่างหลี่ซื่อยังจงเกลียดจงชังเขา
ฮู่กั๋วกงนามเหยียนหลินผู้นั้นเป็นโจรภูเขา มีกองกำลังเกรียงไกรครอบครองพื้นที่แถบหนึ่ง ขาดเพียงมิได้ลุกฮือขึ้นก่อกบฏ ยามที่แคว้นเป่ยฉีมารุกรานเขาได้ยกพลมาช่วยราชสำนัก และโด่งดังขึ้นจากการสู้รบในครั้งนั้น หลังผิงอ๋องขึ้นครองราชย์เรื่องแรกที่ทำคือสถาปนาเขาเป็นฮู่กั๋วกงโดยที่บุตรหลานสามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อได้
ฮู่กั๋วกงประจำการอยู่ที่เมืองชายแดน เป็นสิบปียังไม่เคยเหยียบย่างเข้าเมืองหลินอันแม้แต่ก้าวเดียว กลายเป็นเหยียนเจวี๋ยที่ได้สำเริงสำราญกับเกียรติยศและความโปรดปรานทั้งหมดแทน
บิดาเป็นวีรบุรุษ ส่วนมารดาบังเกิดเกล้าของเหยียนเจวี๋ยที่จากโลกนี้ไปตั้งแต่ให้กำเนิดเขาก็เป็นโจรหญิงผู้ห้าวหาญ ทว่าบุตรชายกลับเป็นคนขี้ขลาดตาขาว
ก่อนเหยียนหลินจะได้รับการสถาปนาเป็นกั๋วกง เหยียนเจวี๋ยก็ถูกเลี้ยงดูมาในรังโจร อีกทั้งยังถูกเลี้ยงดูมาแต่ตัว ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ช่วงแรกที่เข้าเมืองหลินอันเขาไม่รู้จักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียวยังไม่พอ ยังถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องถวายบังคมฮ่องเต้อย่างไร
หลังเติบใหญ่ยิ่งมีพฤติกรรมแปลกประหลาดไร้เหตุผล ทำอะไรเหลวไหล รังแกบุรุษข่มเหงสตรี ชนไก่ลักสุนัข ล้วนเป็นเรื่องปกติ
ถ้าหากเฉินวั่งซูไม่เคยอ่านเนื้อหาคร่าวๆ ของตำนานหลิ่วอิงคงได้คิดว่าเหยียนเจวี๋ยไม่เอาถ่านถึงปานนี้จริงๆ
ทว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนที่ไม่มีดีสักอย่างผู้หนึ่งจะเป็นหัวหน้าของฝ่ายตัวร้าย เป็นคู่ปรับตัวฉกาจขององค์ชายเจ็ดในนิยายได้อย่างไรเล่า
เหยียนเจวี๋ย…เขาเป็นหมาป่าห่มหนังแกะ