“เจ้าอย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ไป ระยะนี้ฮู่กั๋วกงฮูหยินกำลังหาคู่หมายให้เขาอยู่ เจ้าดูเอาเถอะว่าสตรีสูงศักดิ์ทั่วทั้งเมืองใครจะกล้าเอาตัวเข้าไปประสมโรงบ้าง ล้วนแต่อยากเอาเทียบชะตาตกฟากไปเปลี่ยนกับคนอื่น หรือไม่ก็โกหกว่ามีโรคภัยไข้เจ็บกันทั้งนั้น ฮู่กั๋วกงฮูหยินผู้นั้นเป็นมารดาเลี้ยง ทั้งยังมีบุตรชายที่เกิดจากตนเองอยู่ข้างกาย สถานการณ์ในจวนนั้นซับซ้อนนัก อีกไม่กี่วันนางก็จะจัดงานเลี้ยงวสันต์แล้ว และเพราะองค์ชายเจ็ด เจ้าเองก็เลยได้รับเทียบเชิญเช่นกัน…”
ครั้นหลี่ซื่อเอ่ยถึงองค์ชายเจ็ดในอกก็ให้รู้สึกอึดอัดก่อนโทสะจะตีขึ้นมาอีกครั้ง
“ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเขาแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็หมั้นหมายไปแล้ว พวกเราเป็นตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่มีสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับแม่ทัพฝ่ายบู๊เหล่านั้น”
เฉินวั่งซูยิ้มน้อยๆ คีบเนื้อปลาให้หลี่ซื่อด้วยท่าทางน่ารักว่าง่าย ก่อนจะส่งสายตาให้เฉามามาที่อยู่ข้างๆ
เฉามามาเป็นหัวหน้าบ่าวหญิงสูงวัยข้างกายหลี่ซื่อ ได้รับความไว้วางใจจากหลี่ซื่อเป็นอันมาก
เมื่อได้รับสัญญาณจากเฉินวั่งซูแล้ว เฉามามาก็หยิบยกเรื่องน่ายินดีมาพูดทันที “ข้าเห็นว่าฮูหยินมีใจลำเอียงให้คุณหนูรองจนสิ้นแล้วนะเจ้าคะ เยี่ยนเกอเอ๋อร์ก็ชอบกินปลากุ้ยเช่นกัน กลับไม่เห็นท่านชวนเขามาที่หอกวนไห่นี้เลย ยังดีที่บัดนี้เขาแต่งภรรยาแล้ว รอเขาได้บุตรชายตัวอ้วนๆ เมื่อไร ฮูหยินอย่าได้ลำเอียงอีกนะเจ้าคะ”
หลี่ซื่อได้ยินชื่อของเฉินฉางเยี่ยนผู้เป็นบุตรชายคนโตก็มีท่าทางสดชื่นคึกคักในทันใด “นางเฒ่านี่ ถึงกับมาพูดกระแหนะกระแหนข้าแล้ว ยามนี้เยี่ยนเกอเอ๋อร์เป็นขุนนางได้รับเบี้ยหวัด ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มอบร้านค้าและที่นาให้เขาแล้ว มีเงินให้ใช้ไม่ขาดมือเชียวล่ะ เขาออกไปงานเลี้ยงพบปะผู้คนอยู่ข้างนอกแทบทุกสามวันห้าวัน อิสรเสรีเหลือประมาณ ข้ามีวั่งซูเป็นบุตรสาวผู้เดียว เช่นนี้…ไม่เอ็นดูนางแล้วจะให้เอ็นดูผู้ใด”
นางพูดพลางสำทับด้วยความยินดีปรีดิ์เปรมอีกว่า “ทว่าเหยาซื่อเป็นคนสุขภาพร่างกายดี หากให้กำเนิดทายาทได้โดยเร็วก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวงของสกุลเฉินแล้ว”
เฉินวั่งซูฟังพลางนึกถึงคนในครอบครัวขึ้นมา
บิดาของนางมีนามว่าเฉินชิงเจี้ยน ครั้งกระโน้นก็เคยสอบได้จิ้นซื่อ หลังจากเฉินเป่ยผู้เป็นปู่ของนางสนองพระราชโองการคุ้มกันชาวเมืองหนีทัพเป่ยฉีที่มารุกรานจนตัวตายไป เฉินชิงเจี้ยนก็ไว้ทุกข์ตามประเพณีถึงสามปี บัดนี้ดำรงตำแหน่งรองเสนาบดีกรมพิธีการ
หลี่ซื่อกำเนิดในตระกูลทรงอำนาจ เป็นเครือญาติกับฮูหยินผู้เฒ่าชุยซื่อ หลังหลี่ซื่อแต่งงานเข้ามาได้ให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวอย่างละสองคน บุตรชายคนโตมีนามว่าเฉินฉางเยี่ยน สอบได้จิ้นซื่อในรัชสมัยปัจจุบัน ครึ่งเดือนก่อนก็เพิ่งจะแต่งงานกับเหยาซื่อ ส่วนบุตรสาวคนโตนั้นได้จากไปก่อนวัยอันควรในคราวอพยพลงใต้ จึงเหลือเฉินวั่งซูเป็นคุณหนูเพียงผู้เดียว
บุตรชายคนเล็กมีนามว่าเฉินฉางเกอ อายุอ่อนกว่าเฉินวั่งซูเพียงหนึ่งปี บัดนี้กำลังเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาซงชิง และต้องเดินบนเส้นทางการสอบขุนนางดุจเดียวกัน
หากมิใช่วันหน้าต้องแต่งงานออกไป เฉินวั่งซูอยู่ในจวนก็เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของบิดามารดา อีกทั้งยังมีชีวิตสุขสบายอย่างยิ่งยวด
สองแม่ลูกกินข้าวในหอกวนไห่เสร็จก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับจวน
เฉินวั่งซูพิงผนังรถม้าพลางหรี่ตาลง เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวันนี้นางได้ประสบผ่านความตายมาหนหนึ่งและได้รับความสะเทือนใจติดต่อกันสองสามครั้ง ทำให้ชักจะอ่อนเพลียแล้วจริงๆ มิหนำซ้ำหนทางข้างหน้าก็ยากลำบาก จำเป็นต้องวางแผนให้ดี
แม้นางจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องการจะถอนหมั้น แต่การแต่งงานนี้เป็นฮ่องเต้ออกปากกำหนดมาเอง ผู้เป็นฮ่องเต้พูดแล้วไหนเลยจะคืนคำได้ ต่อให้องค์ชายเจ็ดผู้นั้นพอใจในตัวหลิ่วอิงก็ใช่ว่าปัจจุบันจะมีจิตปฏิพัทธ์ลึกซึ้งเสียเท่าไร มิเช่นนั้นเฉินวั่งซูในชาติก่อนจะกลายเป็นฮองเฮาได้อย่างไร
ต่อให้สกุลเฉินยกเฉินเป่ยออกมาทวงบุญคุณ ฮ่องเต้พระองค์นั้นก็คงเพียงแค่ประหารหลิ่วอิงที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญเพื่อรักษาหน้าของทั้งสองฝ่าย การจะยกเลิกการหมั้นหมายนั้นยากเย็นถึงปานนี้
ยิ่งไปกว่านั้นดูจากท่าทีและคำพูดของหลี่ซื่อ ถึงนางจะไม่แต่งงานกับองค์ชายเจ็ดแล้วก็คงไปแต่งกับเหยียนเจวี๋ยไม่ได้อยู่ดี ในใจหลี่ซื่อคุณชายเหยียนกับองค์ชายเจ็ดล้วนเป็นเสมือนหนูตัวโตที่ดีแต่เดินหลบอยู่ในท่อ ฝากผีฝากไข้อันใดไม่ได้
อีกประการหนึ่งอยู่ดีๆ เหยียนเจวี๋ยมีหรือจะมาสู่ขอนาง
หากนางต้องการเล่นงานองค์ชายเจ็ดจนต้องคุกเข่าร้องเรียกบิดาขอให้นางยกโทษให้ก็จำต้องร่วมมือกับเหยียนเจวี๋ยตัวร้ายอันดับหนึ่ง
“งานเลี้ยงวสันต์นั่นปะไร” เฉินวั่งซูส่งเสียงรำพึงรำพันเบาๆ คราวต่อไปที่เขาและนางจะได้พบกันก็คือที่งานเลี้ยงวสันต์ในจวนฮู่กั๋วกงแล้ว