บทที่ 4
กลับมาจากหอกวนไห่เฉินวั่งซูก็หลับเป็นตาย จวบจนดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินถึงได้ตื่นขึ้นมา
นางเคยชินกับการเป็นสัตว์กลางคืน ยิ่งดึกยิ่งคึก ตอนนี้พักเอาแรงพอแล้วก็อยากจะลุกขึ้นโหนสลิงร้องโอเปร่า ทำให้ชาวต้าเฉินได้รู้ว่าใครคือราชินีคาราโอเกะ
แน่นอนว่านางเพียงแต่คิดอยู่ในสมอง ทำให้ระบบตกอกตกใจเล่นเท่านั้น
หอเล็กที่เฉินวั่งซูพักอาศัยตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของสวน เมื่อเปิดหน้าต่างไม้สลักลายจะมองเห็นดอกซิ่งที่ปลูกเป็นหย่อมใหญ่อยู่ตรงมุมกำแพง
“ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง” เฉินวั่งซูเปล่งเสียงสะท้อนใจ ดูเอาเถอะๆ แม้แต่สวรรค์ยังเห็นด้วยกับการมอบบุปผางามเช่นนางให้แก่เหยียนเจวี๋ย เหลือเพียงใบเขียวไว้ให้องค์ชายเจ็ด
“คุณหนู บ่าวมาปรนนิบัติล้างหน้าสวมเสื้อผ้าให้ท่าน ก่อนหน้านี้จ้าวมามาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่ามาหา บอกว่าหากคุณหนูตื่นแล้วให้ไปเรือนผิงคังสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ผู้พูดเป็นสาวใช้ประจำตัวอีกคนของเฉินวั่งซู นามว่า ‘ไป๋ฉือ’
มู่จิ่นฝีปากคมคาย ทั้งยังพอรู้วรยุทธ์หมัดมวย นางจึงพาออกนอกจวนด้วยประจำ ส่วนไป๋ฉือเป็นคนสุขุมละเอียดรอบคอบ งานในเรือนของเฉินวั่งซูจึงล้วนมอบให้นางดูแล
เฉินวั่งซูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ได้บอกหรือไม่ว่ามีธุระอันใด”
ไป๋ฉือช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่จวนให้เฉินวั่งซูอย่างคล่องแคล่วว่องไว แล้วเกล้าผมเป็นมวยที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู จากนั้นก็ลดเสียงลงตอบว่า “จ้าวมามามิได้พูดอะไร แต่คิดว่าคงเกี่ยวกับเรื่องที่ป่าท้อวันนี้ ตอนเที่ยงพอนายหญิงใหญ่ออกมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่า จ้าวมามาก็ตามหลังมาที่นี่ทันทีเลยเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูแววตาวูบไหวก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ อาทิตย์กำลังตกดิน โลกทั้งใบประหนึ่งถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงสีส้มอันอบอุ่น เฉินวั่งซูลงจากหอเล็ก ยืนรับลมพลางสูดหายใจลึก ในอากาศปราศจากมลพิษ สดชื่นจนนางไม่คุ้นชินอยู่บ้าง ยามก้าวเดินก็รู้สึกตัวลอยๆ
เรือนผิงคังอันเป็นเรือนเล็กของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน ฟังจากชื่อเรือนเหมือนเป็นร้านขายยา แต่เมื่อเดินมาใกล้กลับเหมือนอุโบสถในวัด
กลิ่นกำยานอบอวลเต็มเรือนกลบกลิ่นหอมบางเบาของดอกไม้ ทำให้รู้สึกคล้ายว่าสิ้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว
“คุณหนูรองมาแล้วหรือเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้ท่านกินอาหารเย็นด้วยกันเจ้าค่ะ” พอเข้าประตูเรือนมาจ้าวมามาก็เดินมาต้อนรับ
เฉินวั่งซูพยักหน้า ก่อนเดินตามหลังนางไป
จ้าวมามาผู้นี้เป็นบ่าวที่ติดตามฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมาจากตระกูลเดิม เป็นที่นับหน้าถือตายิ่งยวดในจวนแห่งนี้ นางไม่ได้มีหน้าตาอ่อนโยนใจดีแม้แต่น้อย กลับออกจะดูเหมือนบ่าวหญิงสูงวัยผู้ร้ายกาจในละครยอดฮิตเสียมากกว่า
เฉินวั่งซูอดจะจ้องดูมือนางไม่ได้ ทว่าในมือกลับมิได้ซ่อนเข็มเอาไว้ มีเพียงสร้อยประคำที่ถูกลูบคลำจนมันวาวหนึ่งพวง
หรงมามา…ไม่ใช่สิ จ้าวมามาเปิดม่านให้เฉินวั่งซูเสร็จก็หยุดฝีเท้า “คุณหนูรองเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูยิ้มให้นาง ในใจให้พรั่นพรึงอยู่เล็กน้อย แต่มิได้แสดงออกมา
มิใช่ฝีมือการแสดงของนางไม่ได้เรื่อง แต่เนื้อเรื่องที่ระบบให้มานั้นย่อแล้วย่ออีกจริงๆ นอกจากข้อมูลขององค์ชายเจ็ดที่เป็นพระเอกกับหลิ่วอิงที่เป็นนางเอก แล้วก็เหยียนเจวี๋ยตัวร้ายอันดับหนึ่งกับเฉินวั่งซูตัวร้ายอันดับสอง คนอื่นๆ กลับไม่ให้มาแม้แต่ชื่อแซ่
และในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมท่านย่าเข้มงวดกวดขันกับนางอย่างยิ่งยวดมาแต่ไหนแต่ไร มิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันนัก
“คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ” เฉินวั่งซูทำความเคารพอย่างเรียบร้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังจับพู่กันเขียนอักษร นางดูมีอายุราวห้าสิบกว่า เพราะดูแลตนเองได้ดีจึงยังมองออกได้รำไรว่าขณะยังสาวก็คงจะเป็นคนงามแห่งยุคผู้หนึ่ง
บุคลิกท่าทางแสดงความมีชาติตระกูลออกมาชัดทุกอณู สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือเมื่อครั้งกระโน้นฮูหยินผู้เฒ่าเฉินได้สูญเสียสามีรวมถึงบุตรชายในอุทรอีกสองคนไปภายในวันเดียว ส่งผลให้เส้นผมกลายเป็นสีขาวไปทั้งศีรษะ
“นั่งสิ รู้หรือไม่ว่าเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องใด”
เฉินวั่งซูเม้มปาก ไม่กล้านั่งเต็มบั้นท้าย “หลานกระทำการไม่เรียบร้อย ทำให้ท่านย่าต้องกังวลใจแล้วเจ้าค่ะ”
คราวนี้ชุยซื่อถึงได้เงยหน้าขึ้นมา มองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “เจ้าก็ฉลาดนี่ ศึกษาตำรามากเพียงไรก็สู้มีประสบการณ์จริงไม่ได้ นับตั้งแต่หมั้นหมายเจ้าก็กระทำการหุนหันพลันแล่น ไม่มีการวางแผนเหมือนที่แล้วๆ มา”
ไม่รอให้เฉินวั่งซูโต้แย้ง ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็กล่าวต่ออีกว่า “ย่ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจ ผู้อื่นเลือกการแต่งงานเองได้ แต่อยู่ดีๆ เจ้าก็ถูกเลือกสามีให้ ซ้ำอีกฝ่ายยังไม่มีอะไรให้เชิดหน้าชูตาได้อีก”
เฉินวั่งซูอึ้งงัน มองไปยังฮูหยินผู้เฒ่าเฉินด้วยอารามประหลาดใจ