ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 306-307
บทที่ 306
ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเฉินวั่งซูก็ยังรู้สึกว่าตนเองคล้ายข้ามผ่านกาลเวลา ได้กลิ่นคาวเลือดที่ลบไม่หายบนลานเสี่ยวเยวี่ยในวันที่สี่เดือนเก้าเมื่อปีกลาย
“กว่าละอองโลหิตจะสลายไป ร้อยคนนั้นก็ตายหมดแล้ว…ตายกันหมดแล้ว ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว พวกเขานอนอยู่บนพื้น บนร่างมีแต่เลือดท่วม คนรอบข้างได้สติก็ร้องคร่ำครวญ ด่าทอสาดเสียเทเสีย บอกว่ารนหาที่ตายและอื่นๆ อีกสารพัด ข้าคิดว่าหากคนตายไปแล้วตกนรกจริงๆ สิ่งที่เห็นก็คงจะเป็นภาพในคืนนั้นแล้ว”
เฉินวั่งซูเดินไปตบหลังจวีหย่าเบาๆ
จวีหย่าเล่าต่อว่า “เห็นได้ชัดว่าเจินจีเองก็คาดไม่ถึงในเรื่องนี้เช่นกัน ตอนแรกนางตะลึงลานไปแล้ว ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา…ผู้อื่นเห็นหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่เวลานั้นข้ายืนอยู่ใกล้ลานเสี่ยวเยวี่ยเป็นพิเศษ ข้าเห็นด้วยตาตนเองว่าด้านล่างศพเหล่านั้นมีแมลงคลานยั้วเยี้ย แต่เวลานั้นข้าตกใจจนเซ่อไปแล้วจึงมิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
ผ่านไปเช่นนี้อีกสามวันในเมืองลี่โจวก็มีกลิ่นอายความตายคละคลุ้ง มีคนป่วยหนักไม่น้อยเลือกจะจบชีวิตตนเองเพื่อจะได้ไม่ทำให้คนในบ้านพลอยเดือดร้อน แม้จะเป็นเดือนเก้า แต่ในเมืองกลายเป็นสีขาวโพลนแล้ว…ทั่วทุกแห่งหนล้วนมีแต่ธงขาวผ้าขาว ลานเสี่ยวเยวี่ยกลายเป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่มีใครกล้าไปที่นั่น และไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงที่นั่นเช่นกัน เมื่อถึงวันที่เจ็ดเดือนเก้าเจินจีก็ปรากฏตัวอีกครั้ง ครั้งนี้อยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมือง ผู้คนมามุงดูเยอะมากเช่นเคย แต่ผู้ที่ยินดีจะอาสาทดลองกลับไม่มีแล้ว ด้วยเหตุนี้เจินจีจึงให้ทหารสิบห้านายในกองทัพกินยาที่นางปรุงใหม่ลงไป ผลคือสิบห้าคนตายไปหนึ่งคน สิบสี่คนที่เหลือล้วนมีอาการดีขึ้น ขามีความรู้สึก ขยับเขยื้อนได้แล้ว…”
จวีหย่าพูดพลางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในอกเสื้อ ซับเหงื่อบนหน้าผาก “เรื่องราวหลังจากนั้นระหว่างทางพวกท่านก็ได้ฟังแล้ว เจินจีกลายเป็นฮูหยินเจ้าเมืองที่เป็นที่เคารพรักอย่างสูงจากผู้คน เผ่าฉีเข้ามาแทนที่สกุลเซ่า กลายเป็นเจ้าของร้านยาทั้งหมดในเมืองลี่โจว”
เฉินวั่งซูตบสมุดที่จวีหย่าให้นางมาเบาๆ “สรุปคือเรื่องที่เถาปี้ค้นพบไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องทัพวิญญาณกินเบี้ยหวัด แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืนวันที่สี่เดือนเก้า?”
จวีหย่าส่ายหน้า นางกัดริมฝีปาก “ข้าไม่ทราบหรอก ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่เคยเปิดดู เพราะฉะนั้นเถาปี้ชักนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตัวด้วยสาเหตุอะไรกันแน่ พวกท่านดูเองก็จะทราบเอง ข้าเป็นเพียงอิสตรีอ่อนแอที่ตกยากนางหนึ่ง สามารถดิ้นรนมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ บนโลกนี้ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว ไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพิลึกอะไรอีกจนนำภัยถึงตายมาสู่ตัวจริงๆ เรื่องที่ควรบอก ด้วยเห็นแก่บุญคุณที่เถาปี้มีต่อข้าในอดีต ข้าได้บอกไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นพวกท่านได้โปรดรีบไปเถิด หากให้ใครค้นพบเรื่องนี้เข้า คนถัดไปที่ต้องตายก็จะเป็นข้า”
เฉินวั่งซูสบตากับเหยียนเจวี๋ย ก่อนพยักหน้าเบาๆ
เหยียนเจวี๋ยมิได้พูดสิ่งใดอีก เขายื่นมือมาโอบเฉินวั่งซูไว้ก่อนกระโดดเบาๆ จากนั้นคนทั้งสองก็ลงไปจากหน้าต่างในทันใด
ขณะที่เฉินวั่งซูคิดว่าตนเองจะศีรษะโหม่งพื้นจนแตกนี้เอง เหยียนเจวี๋ยก็เชิดร่างขึ้น พาเฉินวั่งซูหายลับไปท่ามกลางความมืดราวกับเป็นนกน้ำที่บินโฉบติดผิวทะเลสาบ
ในจวนเจ้าเมืองเหวยยังคงเงียบสงัด องครักษ์ลาดตระเวนหาวหวอดไม่หยุดประหนึ่งว่าง่วงเต็มที
ฝีเท้าเหยียนเจวี๋ยไม่หยุดชะงักแม้สักนิด เขาผลุบตัวเข้าห้องเสมือนเป็นเหยี่ยวที่บินร่อนในยามราตรี
มู่จิ่นที่นอนอยู่บนเตียงเห็นเฉินวั่งซูกลับมาแล้วก็พลิกตัวลุกขึ้นยืน ก่อนทำมือเป็นสัญญาณว่าปลอดภัยให้เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ย
เฉินวั่งซูโล่งใจ มู่จิ่นฉีกยิ้ม ฟันขาวเต็มปากเห็นชัดเป็นพิเศษท่ามกลางแสงจันทร์
มู่จิ่นแสร้งทำเป็นหาวก่อนเดินออกไป เฉิงอู่ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนเล็กได้ยินเสียงฝีเท้านางก็หันหน้ามาถามเสียงดัง “พี่สาวไยไม่เฝ้ายามอยู่ในห้อง ไฉนออกมาเสียแล้วเล่า”
มู่จิ่นเหลือกตา อ้าปากหาวอีกครั้ง ก่อนทำเสียงบอกให้เงียบ “อย่าเสียงดังจนคุณหนูตื่นเชียวล่ะ ครัวที่นี่ไม่รู้เตรียมอาหารเช้าเวลาใด ข้าคิดว่าคุณหนูมีของที่กินแล้วแสลงหลายอย่าง จะสะเพร่าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ข้าต้องไปกำชับในครัวสักหน่อย จะได้ไม่ทำให้คุณหนูไม่พอใจ”
เฉิงอู่แจ้งใจในฉับพลันจึงแนะนำว่า “พี่สาวเขียนใส่กระดาษมาก็ได้ ข้าจะนำไปส่งให้”
มู่จิ่นเชิดคางขึ้นด้วยท่าทางเหยียดหยาม “เจ้านึกว่าบ่าวไพร่ไม่ว่าบ้านใดก็จะรู้หนังสือเหมือนกับบ่าวไพร่ของสกุลเฉินอย่างพวกข้ากันหมดหรือไร คนทำขนมรู้จักคำว่า ‘ความสุข’ ‘วาสนา’ และ ‘อายุยืน’ แค่สามตัวนี้ก็เป็นคนครัวได้แล้ว”
เฉินวั่งซูฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านนอกแล้วก็ยกมุมปาก ก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนเตียง
นางเปิดดูสมุดเล่มที่เถาปี้ทิ้งเอาไว้โดยอาศัยแสงจันทร์อ่าน
“ดูด้วยกันเถอะ แทบจะไม่ต่างจากที่ข้าคิดไว้เลย”
เรื่องที่เถาปี้ล่วงรู้เป็นคนละฉบับกับเรื่องเล่าของจวีหย่า
เผ่าฉีรักษาโรคด้วยวิธีสุ่มเสี่ยงมาแต่ไหนแต่ไร ชอบใช้ยาแรงเกินผู้ป่วยรับไหว อีกทั้งใช้คุณไสย
ก่อนหน้านี้เผ่าฉีมีทายาทได้ยาก แต่สองรุ่นมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้เหมือนว่าศาลเจ้าแม่ประทานบุตรตั้งอยู่บนสุสานบรรพบุรุษก็มิปาน เอาแต่เจริญวันเจริญคืน หัวหน้าเผ่าฉีไม่พอใจกับซอกเขาเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลเพียงนั้นแล้ว
มิหนำซ้ำยังได้ข่าวว่าเผ่ามู่ซีถูกฆ่าล้างจนแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ ในที่สุดหัวหน้าเผ่าฉีก็ตัดสินใจว่าจะนำพาชาวเผ่าฉีเดินออกมาสร้างความยิ่งใหญ่
หัวหน้าเผ่าฉีผู้นี้…
เฉินวั่งซูอ่านมาถึงตรงนี้ก็อุทานออกมา “หัวหน้าเผ่าฉีนี่ถึงกับเป็นคนผู้นั้นที่พวกเราเคยได้ยินมา ท่านยังจำเรื่องเล่าที่ตอนนั้นพี่สะใภ้ห่าวอวี่เล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่ เรื่องที่สตรีเผ่าฉีฆ่าล้างบางบ้านสามีแล้วพาบุตรสาวฝาแฝดหนีไปที่อื่น ที่แท้นางหาได้ไปจากลี่โจวไม่ แต่กลับไปที่เผ่า หลังนางตายได้ไม่นานบุตรสาวคนโตของนางก็แต่งงานกับหัวหน้าเผ่า คลอดบุตรสาวคนโตนามว่าเจินจี บุตรสาวคนรองนามว่าจินผิง…ให้ตายสิ นี่เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น!”
เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็เดาต่อว่า “ดังนั้นเจินจีกับสกุลเซ่าจึงหาได้มีความสัมพันธ์กันไม่ นางอยากได้ฐานะเป็นบุตรสาวสกุลเซ่า หมายมาดตำแหน่งฮูหยินเจ้าเมืองมาตั้งแต่ต้น มีเพียงได้ตำแหน่งนี้มาเผ่าฉีถึงจะสามารถยืนหยัดมั่นคงอยู่ในเมืองลี่โจวได้อย่างแท้จริง ทว่าเท่านี้ยังไม่พอ เผ่าฉีกลับปรารถนามากกว่านั้น”
เฉินวั่งซูพยักหน้า “ท่านพูดถูกทั้งหมด ในบุตรสาวสองคนนี้เจินจีมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญ นอกจากใบหน้า จุดอื่นๆ ล้วนไม่โดดเด่นเสียเท่าไร แต่หลี่จินผิงผู้เป็นน้องสาวกลับไม่เหมือนกัน นางไม่เพียงแตกฉานทั้งคัมภีร์โอสถและคัมภีร์พิษของเผ่าฉี อีกทั้งเป็นอัจฉริยะในหมู่หมอเท่านั้น ทว่าจินผิงกลับมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ นางจึงมุ่งเป้าไปที่อาการป่วยของผิงอ๋องตั้งแต่ต้น ผิงอ๋องอาการดีขึ้นเร็วมาก ไม่ต้องฟื้นฟูสุขภาพก็เดินได้ราวกับเหาะแล้ว ประสิทธิผลนั้นเรียกว่าเป็นโอสถเซียนก็ยังไม่เกินไป แต่ผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจไหนเลยจะน่าตอแยปานนั้นเล่า ที่หลี่จินผิงกล้าแขวนประกาศรักษาคนก็แสดงให้เห็นว่านางเตรียมตัวมาเกินพร้อม มิเช่นนั้นนางก็คงหัวหลุดออกจากบ่าได้ในเสี้ยวเวลานั้นแล้ว” เฉินวั่งซูอ่านมาถึงตรงนี้ก็เหลืออดแล้วจริงๆ โพล่งออกมาด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เดรัจฉานในคราบมนุษย์แท้ๆ! ใต้หล้าถึงกับมีคนใจดำอำมหิตถึงเพียงนี้อยู่ด้วย?”
เจินจีโง่เขลา หาใช่คนที่จะคิดเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ออกมาได้
ผู้ที่ควบคุมทั้งเมืองลี่โจวในเวลานั้นน่าจะไม่ใช่นาง แต่เป็นหลี่จินผิง