ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 308-309
บทที่ 309
เฉินวั่งซูกระแอมกระไอ ด่วนคุยโวเร็วเกินไปแล้ว!
นางนับว่าค้นพบแล้ว นับตั้งแต่มายังแคว้นต้าเฉินนี้หน้าของนางล้วนแต่ถูกตนเองตบดังเพียะๆ!
“น้องชายท่านนี้ ข้าต้องขออภัยด้วย เข็มเล่มหนึ่งดันมีความคิดเป็นของตนเอง มันขบถเข้าแล้ว หากเป็นคนที่มีความคิดหมายก่อการกบฏพวกเรายังพอห้ามไว้ได้ แต่หากเป็นเข็มหมายก่อการกบฏข้าก็ห้ามไม่ได้มิใช่หรือ…”
กระบี่ที่เหยียนเจวี๋ยถือไว้ในมือเกิดสั่นวูบหนึ่ง ก่อนสาดประกายกระบี่กรีดไปบนหน้าของเหวยเต๋อลี่ด้วยตนเอง
ในยามนี้เนื่องจากความห้าวหาญของเฉินวั่งซู คนแซ่เหวยที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ก็เหลือเพียงเหวยเต๋อลี่คนเดียวแล้ว อย่าเห็นว่าเขามีรูปร่างบึกบึน หนวดเฟิ้มเต็มหน้า เหมือนเป็นคนมุทะลุดุดันคนหนึ่ง แต่พอเขาใช้แส้เก้าท่อนเป็นอาวุธ เอวหนาเท่าถังน้ำนั่นก็บิดได้พลิ้วไหวอย่างยิ่ง เหมือนกับแส้ของเขามิมีผิด
เหวยเต๋อลี่ถึงกับหลบได้ฉิวเฉียด
ทว่าถึงเขาหลบพ้นเข็มของเฉินวั่งซูได้ แต่กลับหลบไม่พ้นกระบี่ในมือของเหยียนเจวี๋ย
ครั้นประกายกระบี่นั้นวาบผ่านเหวยเต๋อลี่ก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กระโดดถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขายกมือแตะดู บนหน้าเต็มไปด้วยเลือด
เจินจีที่ตามติดเขาโดยตลอดส่งเสียงอุทานอย่างตกใจ “กรี๊ด! มีตัวอักษรด้วย! ใต้เท้า บนหน้าท่านมีตัวอักษร!”
เหวยเต๋อลี่ตกใจ ก่อนจะเช็ดเลือดออก “เขียนเป็นคำว่าอะไร”
เจินจีเสียงสั่น “อ่อนหัด!”
เหวยเต๋อลี่เบ้าตาแดง ลูกตาคล้ายว่าจะถลนออกมาก็มิปาน “บุรุษฆ่าได้หยามไม่ได้ เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
เหยียนเจวี๋ยอ้าปากค้าง มองไปยังเฉินวั่งซูด้วยท่าทางบริสุทธิ์ไร้ความผิด “ภรรยา หากข้าบอกว่ากระบี่ข้ามีความคิดของตนเอง เจ้าเชื่อหรือไม่”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็พูดเสียงดัง “เข็มยังกบฏได้ เหตุใดกระบี่จะมีความคิดของตนเองบ้างไม่ได้ เพลงกระบี่ของสามีบรรลุมหาวิถีแล้ว นั่นหมายถึงมีเจตจำนงฟ้าดินแฝงอยู่ มหาวิถีแห่งกระบี่ยืมมือของสามีเพื่อบอกว่าเหวยเต๋อลี่อ่อนหัด นั่นก็หมายความว่าอ่อนหัดจริงๆ”
เสียงเฉินวั่งซูประดุจเป็นระฆังใบใหญ่ ทั้งๆ ที่ไม่มีกำลังภายใน แต่กลับแฝงด้วยความดังอันเป็นพรสวรรค์ของหญิงช่างนินทา คำว่า ‘อ่อนหัด’ นั้นถึงกับดังจนสะท้อนก้อง
ในชั่วพริบตานี้เองดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า ทั่วท้องนภาสว่างขึ้นพร้อมกัน ไก่ขันสุนัขเห่าเป็นครู่ใหญ่ คล้ายว่ากำลังโห่ร้องกระโดดโลดเต้นขานรับคำนาง มิผิด สวรรค์บอกว่าคนแซ่เหวยอ่อนหัด!
เหวยเต๋อลี่ไหนเลยจะทนรับความอัปยศอดสูใหญ่หลวงปานนี้ได้จึงกระทืบเท้า ไม่มัวสนใจศีลธรรมในยุทธภพอะไรแล้ว แส้เก้าท่อนราวกับเป็นงูที่มีชีวิต โจมตีเข้าหาบริเวณเอวของเฉินวั่งซูทันที
เฉินวั่งซูแผดเสียงลั่น “มู่จิ่น! จัดการมัน!”
ในเวลาเดียวกันนี้เหวยเต๋อลี่ผู้นั้นก็แผดเสียงลั่นเช่นกัน “เจินจี จัดการมัน!”
เฉินวั่งซูหัวใจหดเกร็ง นางแทบอยากจะถูมือไปมา นี่คือสองฝ่ายใช้ไม้แข็งเข้าปะทะกันแล้ว! นางพลันคิดได้ว่าวันหน้าตนเองจะต้องเลี้ยงสุนัขไว้สักตัว ยามเกิดการวิวาทต่อสู้เยี่ยงนี้นางจะได้ตะโกนคำที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กออกไป ‘ไปเลย พิคาชู!’*
มู่จิ่นส่งเสียงร้องตะโกน ก่อนปลดจานฝนหมึกแปดเหลี่ยมสีดำสนิทลงมาจากบั้นเอวแล้วยื่นไปหาแส้เก้าท่อนนั้น แส้เก้าท่อนพลันมีอาการเหมือนเป็นหญิงสาวบ้าบุรุษที่มองเห็นคนรักในฝัน คอบิดมือสั่น เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปหาจานฝนหมึกอันน้อยของมู่จิ่นเสียอย่างนั้น
เหวยเต๋อลี่ยังไม่ทันได้สติ แส้เก้าท่อนของเขาก็ดูดติดกับจานฝนหมึกใบน้อยของมู่จิ่นดังแป๊ะแล้ว
มู่จิ่นพลันเอื้อมมือไปกระชากปลายแส้ที่ติดกับจานฝนหมึก แส้ยาวในมือเหวยเต๋อลี่ก็หลุดออกจากมือเขา
ทว่าในเวลานี้เจินจีเองก็ล้วงลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดหนึ่งออกมาแล้วโยนขึ้นไปกลางอากาศเช่นกัน
พอเหวยเต๋อลี่เสียแส้เก้าท่อนไปก็ดึงเอาแส้อ่อนของคนข้างกายมาฟาดไปที่ลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดนั้น มันแตกออก กลิ่นระคายจมูกโชยปะทะหน้า ตามติดมาด้วยผงที่มีลักษณะเหมือนแป้งสีขาว
เฉินวั่งซูหน้าเปลี่ยนสีอย่างมาก เวรแล้ว! ตะลุมบอนกันอยู่ดีๆ เจ้าพวกไร้ยางอายถึงกับใช้อาวุธชีวเคมี
ผงนี้ดูไม่มีพิษมีภัย แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนเดาได้ว่าข้างในนั้นจะต้องมีพิษร้ายแรงแฝงอยู่แน่นอน
เหยียนเจวี๋ยรวบตัวเฉินวั่งซู พานางกระโดดถอยหลังไปสามก้าว ไม่ว่าผงสีขาวพวกนั้นตกลงที่ใดก็ล้วนเกิดฟองอากาศที่ดูน่าขวัญผวา…แต่เจินจีกับเหวยเต๋อลี่ล้วนลืมไปว่าผู้ที่ยืนประจันหน้าสู้อยู่กับเฉินวั่งซูก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคนสกุลเหวย…
พวกเขาแต่ละคนถูกยาชาจากหน้าไม้น้อยทำให้กลายเป็นเหมือนคนตายที่มีลมหายใจ บ้างนอนคว่ำบ้างนอนหงายอยู่…
หากตายไปแล้วก็ช่างเถิด แต่พวกเขาล้วนยังมีชีวิตอยู่ดี หูฟังได้ยินและตามองเห็นอยู่ ผู้อื่นอาจไม่รู้ว่าผงสีขาวนั้นคือยาพิษ ทว่าพวกเขาอยู่กับเจินจีมานานปานนี้แล้วมีหรือจะไม่รู้
แต่ละคนล้วนเบิกตาโตด้วยความหวาดผวา ฉากเหตุการณ์นี้ได้ยินแล้วต้องสลด ได้ฟังแล้วต้องหลั่งน้ำตาเลยทีเดียว…
เฉินวั่งซูเห็นแล้วยังต้องคำรามลั่นว่า “เดิมเกิดร่วมรากหนอ ไยใจคอด่วนฆ่าแกง*!”
เมื่อพวกเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยผลุบตัวหลบ ผงสีขาวเหล่านั้นย่อมจะตกใส่ร่างพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาจะตะโกนก็ตะโกนไม่ออก จะร้องก็ร้องไม่ได้ แม้แต่สีหน้าดุร้ายก็ยังจนปัญญาจะทำออกมาได้
ดวงตาแต่ละคู่มีเส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้นเนื่องจากความเจ็บปวด
“ข้ารู้สึกว่าข้าค้นพบประโยชน์ที่แท้จริงของพายุเข็มดอกสาลี่นี้แล้ว!” เฉินวั่งซูโพล่งขึ้นมา ก่อนหันหน้ามองเหยียนเจวี๋ย กลับเห็นเขาฉีกแขนเสื้อของตนเองทิ้งอย่างไม่รีบร้อน
เฉินวั่งซูพลันหน้าเปลี่ยนสี “ท่านได้รับบาดเจ็บ?”
ต่อให้เหยียนเจวี๋ยตอบสนองรวดเร็วเพียงไร ลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดนั้นก็ระเบิดมาใส่พวกเขาสองคน ย่อมจะมีส่วนหนึ่งที่ไม่ว่าเขาจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น นางรู้สึกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าเหยียนเจวี๋ยยกมือบังนางไว้โดยตลอด
บัดนี้ดูแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ แขนเสื้อของเขาถูกเผาเป็นรูหลายรู
เหยียนเจวี๋ยส่ายหน้า “ไม่เป็นไร เพียงแต่เสียดายของกินเล่นที่เตรียมไว้ให้เจ้าเท่านั้น ข้าซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าแขนเสื้อ ยามนี้ล้วนกินไม่ได้แล้ว”
เฉินวั่งซูเห็นเหยียนเจวี๋ยกระชากกระเป๋าที่ผูกอยู่บนแขนทิ้งไปอีกชิ้นก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
นางก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดแขนเสื้อเหยียนเจวี๋ยถึงใหญ่เพียงนั้น อย่างกับเป็นกระเป๋าที่มีมิติที่ว่างอย่างไรอย่างนั้น ที่แท้คนผู้นี้ก็ผูกห่อผ้าไว้ด้านใน ใส่ของกินไว้จนเต็ม ยังดีที่เขามีวรยุทธ์ มิเช่นนั้นหากเป็นคนทั่วไปก็คงรู้สึกเหมือนผูกถุงทราย แค่จับตะเกียบก็ยังมือสั่น
เหวยเต๋อลี่เองก็ถูกภาพนี้เขย่าขวัญเช่นกัน “น้องชาย เหวินเอ๋อร์ อู่เอ๋อร์!”
เขาพูดแล้วดวงตายิ่งแดงก่ำ จับแส้อ่อนที่เพิ่งหวดออกไปฟาดสองทีแล้วตวาดว่า “เจินจี!”
เจินจีรีบล้วงลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งออกมาอีกเม็ด เห็นได้ชัดว่าต้องการใช้ลูกไม้เก่าอีกรอบ
“เฉิงอู่!” เหยียนเจวี๋ยเรียกเสียงเข้ม
เฉิงอู่พยักหน้า กระโดดมาอยู่เบื้องหน้าเหยียนเจวี๋ยและเฉินวั่งซูทันที
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ปากอ้าตาค้างไปเลยทีเดียว
เวลาเพียงชั่วครู่เดียวนี้เฉิงอู่ผู้นั้นไม่รู้ไปอุ้มบานประตูมาจากที่ใด
เขายกบานประตูบานนั้นไว้ เคลื่อนลมปราณไปที่จุดตันเถียน** กางขาย่อตัว ดูราวกับเป็นเทพทวารบาล
เดี๋ยวก่อนนะพี่ชาย พอยาพิษระเบิดมันจะโปรยปรายลงมาจากเหนือศีรษะ ท่านจะใช้บานประตูบังก็ต้องบังไว้เหนือหัวมิใช่หรือ อีกประการหนึ่งพวกเราจะชิงตีลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดนั้นให้เละก่อนที่เจินจีจะโยนออกมา ให้ตัวนางถูกพิษตายเองไม่ได้หรือไร
ครั้นเจินจีโยนออกมาเหวยเต๋อลี่ก็ใช้ลูกไม้เดิม ผงสีขาวกำลังจะร่วงลงมาอยู่รอมร่อแล้ว
ในเวลานี้เองเฉิงอู่ก็ขยับตัวเสียที
บานประตูหนาหนักบานนั้นอยู่ในมือเขาก็ราวกับเป็นพัดกกหน้าเตาไฟ ทุกครั้งที่พัดจะได้ลมแรงปานพายุ
เฉินวั่งซูรู้สึกว่าตนเองตัวชาไปแล้ว
ภาพที่ข้าเห็นในวันนี้มิใช่เหยียนเจวี๋ยทำศึกใหญ่กับเหวยเต๋อลี่ ณ ลี่โจว แต่เป็นองค์หญิงพัดเหล็กเฉิงอู่ดับไฟที่ภูเขาเปลวเพลิงกระมัง!
* ‘ไปเลย พิคาชู’ มีที่มาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง ‘โปเกมอน’ ที่สร้างขึ้นจากวิดีโอเกมโปเกมอน เป็นประโยคที่มาจากคำพูดของตัวเอกเวลาที่กำลังจะปล่อยพิคาชูออกมาต่อสู้
* ‘เดิมเกิดร่วมรากหนอ ไยใจคอด่วนฆ่าแกง’ มาจากวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก เป็นท่อนหนึ่งในบทกวีเจ็ดก้าวซึ่งเฉาจื๋อ (โจสิด) แต่งตัดพ้อเฉาพี (โจผี) ผู้เป็นพี่ชายที่ต้องการสังหารตนเองจนรอดตายได้ บทกลอนเต็มคือ ‘ต้มถั่วเผาเถาถั่ว ถั่วร่ำไห้อยู่ในหม้อ เดิมเกิดร่วมรากหนอ ไยใจคอด่วนฆ่าแกง’
** จุดตันเถียน เป็นชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้อง อยู่ใต้สะดือลงไปประมาณสามนิ้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.