ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 310-311
บทที่ 310
เหวยเต๋อลี่เริ่มจากเสียแส้เก้าท่อนที่เป็นอาวุธถนัดมือไป จากนั้นก็ถูกลมแรงนี้พัดใส่หน้าจึงชักเท้าหันหลังวิ่งหนี วิ่งไปได้สองสามก้าวถึงค่อยนึกถึงเจินจีที่อยู่ด้านหลังขึ้นมาได้ พอหันกลับไปมองก็เห็นยาพิษพวกนั้นลอยมาถึงตรงหน้าแล้ว เขาจึงกัดฟันแล้วเบี่ยงตัวกระโดดลงจากหอกำแพงเมือง
เจินจีเห็นเช่นนั้นก็เปล่งเสียงด่าทอ ก่อนกระชากตัวทหารนายหนึ่งมาบังไว้ด้านหน้าตนเอง
ครั้นเหวยเต๋อลี่ลงถึงพื้น ยังไม่ทันได้โล่งใจกลับค้นพบว่ากระบี่ยาวของเหยียนเจวี๋ยพาดอยู่บนคอของตนเองแล้ว
เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งก้านธูปสถานการณ์ระหว่างฝ่ายศัตรูและฝ่ายตนเองได้เลวร้ายลงจนน่าตกใจ
เหยียนเจวี๋ยหิ้วตัวเหวยเต๋อลี่ที่ถูกเขามัดไว้อย่างแน่นหนากระโดดกลับขึ้นไปบนหอกำแพงเมืองอีกครั้ง
เฉินวั่งซูเตะเจินจีที่อยู่บนพื้น ก่อนตามมายืนอยู่ข้างกายเหยียนเจวี๋ย
ขณะนี้ดวงอาทิตย์ได้เคลื่อนขึ้นฟ้าเต็มดวงแล้ว แสงอาทิตย์ส่องลงบนใบหน้าเหยียนเจวี๋ย คล้ายว่าฉาบรัศมีอันยิ่งใหญ่ซื่อตรงให้แก่เขา
“เรื่องมาถึงบัดนี้พวกเจ้ายังจะช่วยคนก่อกรรมทำชั่วอีกหรือ”
เสียงตะลุมบอนที่ปากประตูเมืองหยุดลงแล้ว มีชาวลี่โจวที่ใจกล้าจำนวนไม่น้อยตลอดจนเหล่าพ่อค้าเร่ที่หาบของจากนอกเมืองมาขายตอนเช้าต่างรุมล้อมเข้ามา
เสียงของเหยียนเจวี๋ยสุขุมหนักแน่นยิ่งยวด “คดีสังหารหมู่วันที่สี่เดือนเก้าหาใช่พระโพธิสัตว์เดินดินในใจพวกเจ้าช่วยพวกเจ้าไว้ไม่ ตรงกันข้าม เป็นเหวยเต๋อลี่ที่สมคบคิดกับเผ่าฉีวางยาพิษคนในเมือง ญาติพี่น้องของพวกเจ้า มิตรสหายของพวกเจ้าเดิมทีก็ไม่สมควรต้องตาย แต่เป็นเพราะคนบางคนถูกกิเลส ความอยากได้อยากมีในอำนาจครอบงำจิตใจ จึงได้ทำให้พวกเขาผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องสูญสิ้นชีวิตไปเปล่าๆ”
ผู้คนโดยรอบพลันแตกฮือแทบจะทันที
โศกนาฏกรรมเมื่อวันที่สี่เดือนเก้าปีกลายยังชัดเจนเหมือนเกิดอยู่ตรงหน้า แค่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเสียหน่อย
พวกเขานึกมาตลอดว่าเผ่าฉีช่วยพวกเขาไว้
แต่หากเรื่องที่ผู้สูงศักดิ์ซึ่งมาจากหลินอันตรงหน้านี้พูดมาเป็นความจริง เช่นนั้นพวกเขาไหนเลยจะมิใช่หลงผิดเห็นศัตรูเป็นผู้มีพระคุณ
เฉินวั่งซูอาศัยโอกาสนี้ก้าวไปข้างหน้า กล่าวกับทหารทัพลี่โจวที่ยังถืออาวุธแต่มีความลังเลอยู่เล็กน้อยเหล่านั้นว่า “พวกเจ้าคงรู้สึกได้กระมังว่าพี่น้องทั้งหลายที่ข้างกายล้วนหายตัวกันไป พวกคนสนิทของสกุลเหวยที่อยู่มานานเหล่านั้นบอกกับพวกเจ้าว่าพวกเขาล้วนไปเป็นโจรแล้ว เบี้ยหวัดและเสบียงมีคนมาแบ่งน้อยลงมิดีหรือไร ทว่าโจรเป็นงานดีอะไรกัน เหตุใดจึงมีคนหนีไปเป็นโจรทุกสามวันห้าวัน…คนที่ไปเป็นโจรเคยมีใครกลับมาหรือไม่ พวกเจ้าไปปราบโจร เคยเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาสักคนหรือไม่…ไม่เคยเลยกระมัง เป็นเพราะว่าพวกเขาล้วนตายไปหมดแล้ว สหายร่วมรบของพวกเจ้า บุรุษนักรบของต้าเฉินเรามิได้ตายอยู่ในสนามรบกับสุนัขเป่ยฉี แต่ตายอยู่ใต้คมมีดของคนกันเอง ไม่กี่เดือนก่อนพวกเจ้าเพิ่งจะต้อนรับเถาปี้ที่มาจากหลินอัน เหตุใดผ่านมาไม่กี่เดือนสามกองงานก็ส่งคนมาอีก เหตุใดทั้งๆ ที่เหวยเต๋อลี่รู้ว่าเหยียนเจวี๋ยเป็นบุตรชายของฮู่กั๋วกง เป็นขุนนางของราชสำนัก ส่วนข้าก็มีบรรดาศักดิ์เป็นเซี่ยนจู่ เขากลับยังจะเอาชีวิตพวกข้าให้จงได้ นั่นย่อมเป็นเพราะในเมืองลี่โจวนี้มีความลับที่เขาให้ใครรู้ไม่ได้อยู่ ขอเพียงพวกเจ้าเฉลียวใจสักนิดก็โปรดหันดาบในมือไปเล็งใส่ผู้ที่เจ้าพึงเล็งใส่เถิด”
เฉินวั่งซูพูดพลางมองดูรอบๆ ปราดหนึ่ง ก่อนจะมองบรรดาทหารอารักขาของสกุลเหวยเล็กน้อย
“ส่วนสุนัขรับใช้อย่างพวกเจ้า บัดนี้สกุลเหวยจบสิ้นแล้ว พวกเจ้ายังอยากจะเป็นศัตรูกับพวกข้าอยู่อีกหรือ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบข้างดังยิ่งกว่าเดิม
ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นผู้นำในกองทัพ เหล่าทหารทัพลี่โจวจึงพากันเล็งอาวุธของมีคมในมือตนเองไปที่ทหารอารักขาของสกุลเหวย ทหารอารักขาสกุลเหวยเห็นแล้วก็รีบโยนอาวุธในมือทิ้งก่อนคุกเข่าลง
เหวยเต๋อลี่ถูกจับแล้ว ภาพเมื่อครู่นี้พวกเขาก็ใช่ว่าจะมองไม่เห็น
คนชุดดำสามสิบกว่าคนนั้นออกมาเพื่อช่วยโบกธงโห่ร้องส่งเสริมเหยียนเจวี๋ย ทำให้เขายิ่งดูมีสง่าเปี่ยมด้วยบารมี
ต่อให้ไม่มีพวกเขา ลำพังเหยียนเจวี๋ยคนเดียวก็เทียบได้กับทหารนับพันม้าศึกนับหมื่น เพียงพอจะยึดทั้งเมืองลี่โจวได้แล้ว
บุคคลร้ายกาจเยี่ยงนี้กระทั่งเหวยเต๋อลี่ยังดิ้นรนอยู่ในกำมือเขาได้ไม่เกินสามกระบวนท่า หากพวกเขาบุกเข้าหาเหยียนเจวี๋ยไหนเลยจะมิใช่เอาตนเองไปให้อีกฝ่ายฟันทิ้งไม่ต่างจากผลแตง ขอเพียงสมองไม่มีปัญหา เวลานี้หากยังไม่คุกเข่าเรียก ‘บิดา’ แล้วจะมัวรออะไรอยู่อีก
เฉินวั่งซูมองดูคนมหาศาลที่คุกเข่า ก่อนมองไปยังเหยียนเจวี๋ยด้วยอารามสะทกสะท้อนใจ
คนที่มีรูปโฉมงดงาม อีกทั้งมีวรยุทธ์ล้ำเลิศตรงหน้าผู้นี้ถึงกับเป็นสามีของนาง จะรู้สึกยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!
ในเวลานี้เองฝูงชนได้แหวกออกเป็นทาง
เฉินวั่งซูมองไป เห็นเพียงสตรีในชุดไว้ทุกข์นางหนึ่งเดินช้าๆ ขึ้นมาบนหอกำแพงเมือง นางไม่ได้สวมเครื่องประดับมีค่า เพียงแซมบุปผาดอกน้อยสีขาวไว้ข้างจอนผมสองสามดอก
คนผู้นี้มิใช่เหวยฮูหยินสามแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
“ขอบคุณใต้เท้าเหยียนและเซี่ยนจู่เป็นอย่างมากที่ช่วยทวงความยุติธรรมคืนมาให้ชาวบ้านในลี่โจวเรา หลังทั้งสองท่านกลับไปหลินอันแล้ว ได้โปรดช่วยเปิดโปงพฤติกรรมเลวร้ายของเผ่าฉีรวมถึงสกุลเหวยแก่คนทั้งหลายแทนพวกข้าด้วยเถิด” เหวยฮูหยินสามพูดพลางยื่นหีบไม้ใบเล็กใบหนึ่งมาให้เฉินวั่งซูและเหยียนเจวี๋ย “ข้างในนี้เป็นหลักฐานชุดที่สองที่ข้าเตรียมไว้ ขอรบกวนทั้งสองท่านแล้ว”
เหวยฮูหยินกล่าวแล้วก็เดินตรงไปที่ริมหอกำแพงเมือง หยิบผ้าเช็ดหน้าซับดวงตาตนเอง
“ทุกท่านล้วนรู้จักข้ากระมัง ข้าคือภรรยาของสกุลเหวยบ้านสาม ข้าแซ่เฉา นามว่าเอ๋อ แต่งงานมาจากอี้โจว ก่อนออกเรือนเคยเป็นหลงจู๊ของหอจิ่นกวนที่เป็นกิจการหลวง ด้วยสาเหตุนี้ข้าที่เป็นเพียงแม่ค้าผู้หนึ่งถึงสามารถแต่งเข้าจวนสกุลเหวยได้…เฉาเอ๋ออกตัญญู นิสัยแข็งกร้าว ก่อนออกเรือนยังทะเลาะกับบิดา หลังแต่งเข้าสกุลเหวยยิ่งคร้านจะสนใจเรื่องทางบ้านเดิมอีก ทั้งใจยังมุ่งมั่นอยู่กับการดูแลกิจการให้สกุลเหวย ถึงขนาดว่านำวิธีการลับในการทอผ้าแพรของที่บ้านมาสอนให้หญิงปักผ้าของสกุลเหวยทั้งหมด เมื่อปีกลายเหวยเต๋อลี่รวมหัวกับเจินจีวางยาพิษไปทั่วเมืองลี่โจว ยาพิษเหล่านี้เกิดขึ้นเองไม่ได้ ข้าเป็นคนถือกระเป๋าเงินของสกุลเหวย ย่อมจะรู้ว่าพวกเขาเอาเงินเท่าไรไปซื้อสมุนไพรพิษ” เหวยฮูหยินสามพูดพลางน้ำตาไหลริน “นี่ก็คือกรรมตามสนอง ข้าคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าบิดาที่ผิดใจกันกับข้าก็มาที่เมืองลี่โจวในช่วงเวลานั้นด้วยต้องการมาดูข้าอย่างเงียบๆ เขาเองก็ถูกพิษเข้า มิหนำซ้ำยังกลายเป็นหนึ่งในร้อยคนที่ทดลองยานั้น…”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ให้ใจสั่น
มิน่าเล่า! นางรู้อยู่แล้วว่าการเก็บรวบรวมหลักฐานเหล่านี้มิใช่เรื่องที่ทำได้แค่ชั่วข้ามวันข้ามคืน มิหนำซ้ำยังมีเรื่องอีกมากมายยิ่งที่ถ้ามิได้เป็นคนในของสกุลเหวยก็ไม่มีทางล่วงรู้โดยสิ้นเชิง
ตามคำพูดของเหวยฮูหยินสาม สกุลเหวยนั่นใช้เงินที่อีกฝ่ายหามาไปซื้อยาพิษมาวางยาจนทำบิดาตนเองตาย เหวยฮูหยินสามรู้การกระทำแสนอำมหิตของเหวยเต๋อลี่กับเผ่าฉีอยู่แก่ใจ ทว่ามิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด กลับช่วยส่งเสริมคนชั่วเสียด้วยซ้ำไป…
“ข้าเฉาเอ๋อหนึ่งไม่สามารถสาปแช่งบิดาบังเกิดเกล้าให้ไปตายได้ สองไม่สามารถกล่าวหาตนเองพล่อยๆ ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้…ด้วยเหตุนี้เรื่องที่ข้าพูดจึงเป็นความจริงทุกคำ หากโป้ปดแม้แต่คำเดียวขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี!”
เหวยฮูหยินสามว่าแล้วก็ล้วงขวดหยกขาวใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ “ทุกท่าน เชิญเปิดตามองให้ดี”
เฉินวั่งซูห้ามไม่ทัน เหวยฮูหยินสามดึงฝาขวดออก เอายาลูกกลอนเม็ดเล็กเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไปแล้ว
มันออกฤทธิ์ทันตาเห็น
เหวยฮูหยินสามที่เมื่อครู่ยังยืนตัวตรงขาอ่อนยวบ ล้มเป็นอัมพาตในทันที
บ่าวหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่ข้างกายนางย่อตัวลงอุ้มนางขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ทุกท่านเห็นแล้วหรือไม่ ญาติพี่น้องของพวกท่านป่วยเช่นนี้ใช่หรือไม่”