ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 310-311
บทที่ 311
ไม่ว่าจะพล่ามออกมามากเพียงไรก็สร้างความสั่นสะเทือนได้ไม่เท่าการได้เห็นเองกับตา
เมื่อปีกลายเมืองลี่โจวมีสภาพเป็นนรกเยี่ยงไร ขอเพียงเป็นคนที่เคยเห็นล้วนยากจะลืมลงไปตลอดทั้งชาติ
เสาหลักของครอบครัวจู่ๆ ก็แข้งขาปวกเปียก กลายเป็นคนพิการที่ยื้อชีวิตอยู่รอดไปวันๆ มารดาที่กำลังต้มน้ำแกงยังไม่ทันยกหม้อก็ล้มตึงอยู่ข้างเตา
โรคประหลาดที่เกิดอย่างปุบปับปานนี้ คนทั้งหมดล้วนนึกว่าเป็นโทษทัณฑ์จากสวรรค์ พวกเขาอธิษฐานขอพรเทพเซียนพระพุทธองค์หมดทั้งสวรรค์แล้ว แต่ก็ได้มาเพียงความสิ้นหวัง นั่นเป็นความสิ้นหวังที่ไม่ปรารถนาจะหวนนึกถึงขึ้นมาอีกตลอดกาล
ทว่าวันนี้พวกเขาเห็นเองกับตาว่า ‘โทษทัณฑ์จากสวรรค์’ ที่ว่ากันนี้เป็นเรื่องโกหกโดยสิ้นเชิง
เหวยฮูหยินสามกินยาลูกกลอนลงไปเม็ดเดียวก็ได้รับ ‘โทษทัณฑ์จากสวรรค์’ แล้ว!
เพลิงโทสะจากการถูกหลอกปั่นหัวพรรค์นี้แทบจะเผาผลาญเมืองลี่โจวทั้งเมืองแล้ว…
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำในหมู่ฝูงชนปาโคลนก้อนเท่าไข่ห่านฟองหนึ่งมากระแทกหน้าเหวยฮูหยินสามอย่างจัง
ก่อนจะตามมาติดๆ ด้วยบรรดาก้อนโคลนที่ลอยมาทางหอกำแพงเมืองราวกับเม็ดฝน
เหยียนเจวี๋ยเห็นแล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้า ‘พัดเหล็ก’ ของเฉิงอู่มาบังไว้ตรงหน้าเฉินวั่งซู ก้อนโคลนพวกนั้นกระแทกบนบานประตู ส่งเสียงดังปึงปัง
มามาที่อุ้มเหวยฮูหยินสามอยู่ล้วงขวดเขียวใบเล็กออกมาจากในอกเสื้ออีกใบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ก่อนหยิบยาเม็ดหนึ่งป้อนใส่ปากเหวยฮูหยินสาม นางร้องด้วยความทุกข์ทรมานไม่กี่ทีก็สำรอกเลือดสดๆ ออกมา จากนั้นก็กระโดดลงจากตัวมามาด้วยความยากลำบาก
แม้จะดูยังติดขัดไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง แต่เห็นได้ชัดว่านางอาการดีขึ้นแล้ว
“ผู้ใดก่อกรรมพึงให้ผู้นั้นชดใช้ ที่นี่เป็นแผ่นดินของแคว้นต้าเฉิน มิใช่คอกแกะของสกุลเหวย พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย บัดนี้ใต้เท้าเหยียนมาแล้ว วันอันมืดมนในลี่โจวเราได้ผ่านไปแล้ว เขาจะต้องทวงความเป็นธรรมให้พวกท่านได้อย่างแน่นอน ดวงวิญญาณของญาติพี่น้องเราจะต้องได้พักผ่อนอย่างสงบสุขแน่นอน”
เหวยฮูหยินสามพูดแล้วน้ำตาก็ร่วงเผาะๆ นางรับป้ายวิญญาณของบิดามาจากในมือสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วเริ่มโขกศีรษะโครมๆ คำนับป้ายนั้น
ชาวบ้านที่มารวมตัวกันด้านล่างหอกำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเห็นภาพเช่นนี้แล้วก็ต่างทรุดตัวลงร่ำไห้ขึ้นมา
เฉินวั่งซูยืนอยู่บนหอกำแพงเมือง เหยียนเจวี๋ยไม่รู้เอาบานประตูออกไปตั้งแต่เมื่อใด นางเคยแสดงละครมาหลายเรื่อง ฉากเหตุการณ์ใหญ่โตเยี่ยงนี้ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่การร้องไห้ของพวกนักแสดงในละครล้วนเป็นการร้องไห้ปลอมๆ ก้มหน้าส่งเสียงฮือๆ สองสามที เพียงแค่ให้ดูไกลๆ เหมือนร้องไห้เท่านั้น
แต่หากซูมเข้าไปที่หน้าพวกเขา แม้แต่น้ำตาก็ยังไม่มี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความทุกข์โศกแสนสาหัสใดๆ
ทว่าแต่ละคนในเมืองลี่โจวขณะนี้กลับล้วนร่ำไห้ใจแทบขาดรอนๆ
เฉินวั่งซูยิ่งมองในใจก็ยิ่งหนักอึ้ง นางรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้วว่าเหตุใดเหยียนเจวี๋ยจึงไม่พูดเรื่องทำนองว่าช่วงชิงแผ่นดินเป็นฮ่องเต้ออกมาง่ายๆ เหมือนอย่างนาง นั่นเป็นเพราะคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีชีวิต
ชีวิตของพวกเขาก็คือชีวิตเช่นกัน สุข ทุกข์ เสียใจ ดีใจของพวกเขาก็ล้วนเป็นของจริง บัดนี้นางรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในนิยาย แต่ขณะที่นางเป็นซ่งชิงนั้นอยู่ในนิยายของผู้ใดกันเล่า
รอจนเรื่องราวสงบลง กลับถึงจวนสกุลเหวยแล้ว แต่หัวใจของเฉินวั่งซูก็ยังคงมิอาจสงบลงได้อยู่เนิ่นนาน
รอบข้างเงียบสงบ คนสกุลเหวย รวมถึงบรรดาคนสนิทของพวกเขา อีกทั้งชาวเผ่าฉีล้วนถูกจับตัวไว้ทั้งหมด ไม่รอดไปแม้แต่คนเดียว เมื่อเตรียมรถม้าพร้อมแล้วพวกเขาก็จะเดินทางไปเมืองหลวงทันที
“สรุปว่าเจ้ามีแผนจะเอาตัวรอดอย่างไร เข้าเมืองหลวงไปเป็นพยานต่อพระพักตร์เสร็จแล้ว จากนั้นค่อยให้เหวยฮูหยินสามตายอย่างนั้นหรือ”
เฉินวั่งซูได้ยินคำของเหยียนเจวี๋ยก็ได้สติกลับมาในทันใด นางมองไปที่เหวยฮูหยินสามเฉาเอ๋อซึ่งอยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
เฉาเอ๋อผู้นั้นฉีกยิ้ม กุมหมัดกล่าวกับเหยียนเจวี๋ย “นายท่านช่างปราดเปรื่อง”
ครั้นอีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้เฉินวั่งซูก็ฟังเสียงของนางออกได้ในทันที นี่ไม่เหมือนกับเสียงของเหวยฮูหยินสามก่อนหน้านี้ที่ฟังดูโศกศัลย์เหลือแสน เสียงของนางเย็นชากว่ามาก
แม้คนทั้งสองจะคลุกคลีกันไม่มาก แต่เฉินวั่งซูยังคงนึกได้แทบจะทันทีว่าถ้าคนผู้นี้มิใช่ซูหวั่นอนุผู้นั้นที่เฉินชิงซินพากลับมาแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้
“เป็นพยานต่อพระพักตร์คงมิได้ ด้วยประเดี๋ยวเหวยฮูหยินสามก็จะแขวนคอตายแล้ว อันที่จริงตัวนางเองก็แขวนคอตายจริงๆ ทว่านายท่านค้นพบได้อย่างไรเจ้าคะว่าข้ามิใช่นาง ตามหลักแล้วนายท่านเพิ่งจะได้พบนางเป็นหนแรก หาได้คุ้นเคยกับอุปนิสัยและพฤติกรรมของคนผู้นี้ตัวจริงไม่ มิหนำซ้ำนายท่านก็อยู่กับข้าเพียงไม่นานเช่นกัน ไม่น่าจะจำแนกออกได้จึงจะถูก!” ไม่รู้ว่าซูหวั่นความคิดเตลิดไปถึงที่ใดจึงได้มองเหยียนเจวี๋ยด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา ก่อนกล่าวอีกรอบว่า “นายท่านช่างปราดเปรื่อง!”
เฉินวั่งซูมองไปยังเหยียนเจวี๋ย เหยียนเจวี๋ยก็ตบมือนางเบาๆ
“มีสองสามจุดที่น่าสงสัย เหวยฮูหยินสามเป็นบุตรสาวจากตระกูลพ่อค้า ไม่เป็นวรยุทธ์ เจ้าปลอมตัวได้ดียิ่งโดยตลอด แต่หลังจากที่เจ้ากินยาพิษลงไป พิษซึมเข้าร่างกาย ผู้ที่มีกำลังภายในจะปรับลมหายใจตามจิตใต้สำนึก”
เหยียนเจวี๋ยมีวรยุทธ์สูงกว่าซูหวั่นไปไกลลิบ ถึงสามารถมองออกได้
“เนื่องจากเรื่องนี้ข้าถึงได้มั่นใจในการคาดเดาก่อนหน้านี้ ข้ากับวั่งซูมาจากหลินอัน เพื่อที่จะตบตาผู้อื่นได้ดูถูกเถาปี้ไปมากเพียงไร แสดงตัวไปทั่วว่าเพียงแต่มาเดินดูที่นี่พอเป็นพิธี หากเป็นเหวยฮูหยินสามตัวจริงย่อมไม่มีทางยัดกระดาษที่เขียนว่า ‘วันที่สี่เดือนเก้า’ นั้นให้วั่งซูตั้งแต่แรกพบหน้าอย่างแน่นอน เรื่องราวเกี่ยวพันกันใหญ่หลวง ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กระทำการอย่างรอบคอบระมัดระวัง เถาปี้มาลี่โจวก็เพิ่งจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเหวยฮูหยินสามจนได้หลักฐานมาในวันสุดท้าย จากนั้นก็รีบนำไปให้จวีหย่า แล้วออกจากลี่โจวกลับไปเมืองหลินอัน”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็อดจะพยักหน้าไม่ได้
มิผิด จุดนี้นางเองก็เคยสงสัย เหวยฮูหยินสามสามารถหาหลักฐานมาได้อย่างรัดกุมปานนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อใจพวกนางที่เพิ่งได้พบหน้าเป็นครั้งแรกในทันทีทันใด
“จุดที่สามนี้อยู่ที่ขณะเหวยฮูหยินสามอยู่บนหอกำแพงเมืองได้สวมชุดไว้ทุกข์ พูดถึงเรื่องเศร้าของบิดาตนเองด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเหลือแสน ย่อมจะไม่มีทางมีแก่จิตแก่ใจมาพูดว่า ‘บัดนี้ใต้เท้าเหยียนมาแล้ว วันอันมืดมนในลี่โจวเราได้ผ่านไปแล้ว’…ในสถานการณ์ทั่วไปถึงจะพูดก็ย่อมพูดว่าข้ากับวั่งซูจะนำเรื่องลี่โจวไปรายงานต่อราชสำนัก ฝ่าบาทจะคืนความเป็นธรรมให้ชาวบ้านในลี่โจวเอง แต่เจ้ามิได้เอ่ยถึงฝ่าบาทแม้เพียงครึ่งคำ กลับเอาแต่ยกข้ามาอ้าง เพราะฉะนั้นข้าจึงเดาว่าเจ้าคือซูหวั่น”
ซูหวั่นดวงตาสว่างวาบขึ้นมาก นางหน้าแดงน้อยๆ กล่าวอย่างเก้อเขินอยู่บ้าง “เมื่อก่อนเรื่องพรรค์นี้ล้วนเป็นผู้บังคับบัญชาเฉินพูด ข้าพูดไม่เก่ง ไม่ทราบว่าควรทำให้คนบนโลกล่วงรู้ถึงความปราดเปรื่องปรีชาสามารถและคุณงามความดีของนายท่านของพวกเราได้อย่างไร”
เฉินวั่งซูฟังแล้วมุมปากกระตุก หากนางเป็นนักเยินยอความงามอันดับหนึ่งของเหยียนเจวี๋ย
เช่นนั้นซูหวั่นรวมถึงหน่วยราชองครักษ์ปีกดำก็เป็นนักเยินยอไร้สมองของเหยียนเจวี๋ย หากเจ้ามีความคิดเลิศเลออีกสักหน่อย ป่านนี้นายท่านของเจ้าก็บรรลุมรรคผลขึ้นสวรรค์ได้แล้ว และหากเพิ่มการเยินยอไปอีกนิดฟ้าดินก็จะเปลี่ยนมาแซ่เหยียนแล้ว
“พวกข้าได้รับข่าวบอกว่าลี่โจวเคยเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่เมื่อปีกลาย เหวยเต๋อลี่เจ้าเมืองของลี่โจวปิดบังไม่รายงาน ราชสำนักไม่รู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง ผู้บังคับบัญชาเฉินรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงตั้งใจจะสืบสวน ข้าสืบข่าวได้ว่าเถาปี้แห่งสามกองงานเพิ่งจะกลับจากลี่โจว เดิมตั้งใจจะไปสืบข่าวคราว แต่ครั้นไปถึงตรอกเล็กกลับพบว่าเถาปี้ตายแล้ว นี่เป็นการบอกว่าลี่โจวต้องมีความลับที่บอกให้ใครรู้ไม่ได้อยู่แน่นอน ทว่าผู้บังคับบัญชาเฉินเป็นขุนนางในราชสำนัก ไม่อาจเดินทางไปตามใจชอบได้ ข้าเป็นสตรีในบ้าน อ้างว่าเป็นไข้หวัด ไม่ออกไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครนึกสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงออกเดินทางมาลี่โจวทันที”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.