ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 312-314
บทที่ 312
ซูหวั่นหาได้หยุดชะงักไม่ ยังคงเล่าต่อไปว่า “หลังจากข้ามาลี่โจว ค้นพบว่าเหวยฮูหยินสามมีความเกี่ยวโยงกับเถาปี้จึงมาเยือนในยามดึก แต่มาช้าไปก้าวหนึ่ง ข่าวว่าเถาปี้ตายแล้วแพร่มาถึงลี่โจวก่อน เหวยฮูหยินสามรับไม่ไหวจึงแขวนคอจบชีวิตตนเอง ข้ายังหาหลักฐานของเถาปี้ไม่พบ อีกทั้งลี่โจวอยู่ห่างไกล แม้แต่พ่อค้าก็เดินทางมาน้อยยิ่ง คนต่างถิ่นซ่อนตัวได้ไม่นานหรอก ข้าเห็นว่าตนเองกับเหวยฮูหยินสามมีรูปร่างใกล้เคียงกัน จึงแปลงโฉมเป็นนางแล้วแฝงตัวอยู่ในจวนสกุลเหวยมาตลอด คิดว่ารอได้หลักฐานแล้วค่อยแกล้งตายกลับเมืองหลวง ไม่คิดว่านายท่านกับฮูหยินจะมาเยือนเสียก่อน” ซูหวั่นกล่าวพลางมองนอกประตูเล็กน้อย “นายท่าน ข้าต้องอยู่จัดการปัญหาที่ค้างคา อีกทั้งไม่สามารถปล่อยให้ใครจับพิรุธเรื่องตัวตนของข้าได้”
นางคิดเล็กน้อยก่อนลดเสียงลงพลางโน้มตัวมาใกล้ “หลี่จินผิงคิดวิธีการแก้พิษได้สองวิธี วิธีแรกเป็นการใช้ยาแก้พิษจริง ยาลูกกลอนสีเขียวที่ข้ากินในวันนี้ก็คือยาแก้พิษของจริง ส่วนอีกวิธีกลับเป็นการใช้ยาแก้พิษปลอม ผิวเผินดูเหมือนจะหายดี แต่อันที่จริงกลับใช้การเผาผลาญชีวิตมาแลกเปลี่ยน นับแต่ปีกลายถึงปีนี้คนที่ได้กินยาชนิดที่สองเริ่มมีคนตายแล้ว”
ขณะที่พูดซูหวั่นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าประตูจึงเบ้าตาแดงและเริ่มหลั่งน้ำตาในทันที “บุญคุณของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่าน ชาวบ้านทั่วทั้งลี่โจวล้วนยากจะลืมเลือนได้ชั่วชีวิต เรื่องไปเป็นพยานยังหลินอัน ข้าย่อมมิอาจปฏิเสธได้ เพียงแต่ยังคงขอให้ผู้มีพระคุณทั้งสองโปรดรอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปเก็บของสักหน่อย แล้วจะเดินทางไปกับผู้มีพระคุณทั้งสอง”
ซูหวั่นพูดพลางยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “มามา เจ้ามาพอดีเลย เจ้าพาผู้มีพระคุณทั้งสองไปขึ้นรถม้าก่อน ข้าจะตามไปทันที เจ้าไปหลินอันกับข้าเถิด”
มามาชราที่ก่อนหน้านี้อุ้มซูหวั่นไว้ก็ตาแดงเรื่อแล้วเช่นกัน “นายหญิง บ่าวรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
เพิ่งแยกกับซูหวั่นได้ไม่นาน เพียงครู่เดียวก็มีสาวใช้น้อยนางหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซมาถึงหน้ารถม้า “แย่แล้ว! แย่แล้ว! ฮูหยินสามแขวนคอตายแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูสบตากับเหยียนเจวี๋ย จำต้องบอกว่าซูหวั่นผู้นี้ทำงานรวดเร็วเฉียบขาดโดยแท้
เหวยฮูหยินสามตายแล้ว เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยรีรออยู่ที่ลี่โจวต่อไปก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร
ขากลับก็เหมือนกับขามา รถม้าแล่นเร็วปานเหาะ
เฉินวั่งซูจับมีดสั้นเล่มน้อยตบลงบนหน้าของเจินจีที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาเบาๆ
“เจ้านึกว่าข้าไม่รู้หรือ นางหญิงบ้าผู้นั้นตายแล้ว ใครจะไปเชื่อคำพูดของหญิงบ้าผู้หนึ่งกัน เผ่าฉีของพวกข้าไม่เป็นอะไรแน่นอน น้องสาวข้าเป็นสนมคนโปรดในวัง…เจ้าคิดว่าเซี่ยนจู่ที่มีตำแหน่งลอยๆ อย่างเจ้าจะเทียบได้?” เจินจีว่าแล้วก็เริ่มหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งอยู่บ้าง “ฮ่าๆ เจ้ามีดีอะไรกัน อย่างไรเจ้าก็สู้น้องสาวข้าไม่ได้ น้องสาวข้ามียา ยาที่แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องลุ่มหลง ถึงเวลานั้นใครจะเป็นฝ่ายชนะยังบอกได้ไม่แน่นอนเลย เจ้าไม่รู้อะไร ท่านพ่อหมอบอกไว้แล้วว่าเผ่าฉีของพวกข้าจะให้กำเนิดฮองเฮา! ใครจะไปเชื่อเรื่องเพี้ยนๆ อย่างการทดลองยาอะไรนั่นเล่า จะแก้พิษย่อมต้องปรุงพิษออกมาให้ได้ก่อนถึงจะสามารถให้ยาตรงกับอาการได้”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ขยับมือเบาๆ
เจินจีตื่นกลัวในทันที เฉินวั่งซูถือมีดสั้นเล่มนั้นขู่นางอยู่นานมากแล้ว นางคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าอีกฝ่ายจะลงมือกรีดหน้านางจริงๆ
“เจ้า…เจ้า…เจ้า…เจ้าทำอะไร”
เฉินวั่งซูสีหน้าเยียบเย็น “ข้าไม่มีเวลามาฟังเจ้าพร่ำเพ้อ มารดาเจ้ามีน้องสาวฝาแฝดหรือไม่”
เจินจีนิ่งงันไป กำลังจะยอกย้อน กลับมองเห็นมีดของเฉินวั่งซูยื่นมาอีกรอบ นางตัวสั่นสะท้านก่อนตอบว่า “ข้าเคยได้ยินแม่ท่านข้าเอ่ยถึง แต่ไม่เคยพบหน้า คนในเผ่าบอกว่าตอนที่ท่านแม่ข้ายังแบเบาะ ท่านยายข้าได้พานางกลับมาที่เผ่าเพียงลำพัง มีเพียงน้าสาวของข้าถูกหมาป่าคาบไปกลางทาง ขณะท่านยายข้ากลับมาถึงทั้งตัวมีแต่เลือด ขาถูกหมาป่ากัดจนเห็นกระดูก ไม่นานก็ตายไป…” นางกรีดเสียงเอ่ยว่า “เฉินวั่งซู! เจ้ากรีดหน้าข้า ต้องไม่ได้ตายดีแน่”
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า จากนั้นมู่จิ่นที่อยู่ด้านข้างก็หิ้วตัวเจินจีไป ก่อนโยนกลับเข้าไปในรถคุมนักโทษประหนึ่งเป็นเหยี่ยวจับนกน้อยก็มิปาน
เฉินวั่งซูปัดมือ สอดมีดสั้นกลับไปไว้ตรงบั้นเอว “เหมือนกับที่ชาวเผ่าฉีคนอื่นบอก เรื่องที่ปู่ของห่าวอวี่ล่วงรู้มาขณะเป็นนักชันสูตรอยู่ที่ลี่โจวเป็นเรื่องจริงมิผิดแน่นอน ยายของเจินจีกับหลี่จินผิงฆ่าสามียกครัวเสร็จก็พาลูกสาวฝาแฝดกลับเผ่าฉี ยามนั้นเผ่าฉียังอยู่ในสภาพปลีกตัวสันโดษเหมือนกับเผ่ามู่ซี ด้วยเหตุนี้ทางการจึงหาไม่พบว่าที่กบดานของพวกนางอยู่ที่ใด คดีนี้จึงเป็นอันจบไป ส่วนระหว่างทางกลับนางจะบังเอิญเจอฝูงหมาป่าก็ดีหรือถูกคนไล่สังหารก็ช่าง สรุปแล้วก็คือนางพาบุตรสาวกลับไปที่เผ่าเพียงคนเดียว แต่เด็กอีกคนกลับหายตัวไป”
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า “มารดาของเจินจีตายไปแล้ว พวกเราจึงหมดหนทางจะยืนยันได้ว่านางมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร เหมือนกับท่านแม่ของข้าหรือไม่ ตามคำบอกของพวกเขา เด็กอีกคนไม่ได้อยู่ที่เผ่าฉีมาตั้งแต่แบเบาะ นางไม่อาจเรียนศาสตร์ด้านยาและวิชาการแพทย์ของเผ่าฉีได้โดยสิ้นเชิง ฉะนั้นเรื่องที่ท่านแม่ข้ามีวิชาแพทย์ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าฉี เรื่องนี้ไม่รู้จะหาหลักฐานได้จากที่ใด คงไม่จำเป็นต้องพูดถึง”
เฉินวั่งซูพยักหน้าโดยมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เผ่าฉีมิใช่เผ่าที่ดีอะไร เป็นพวกสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ต่อให้พวกเขาพิสูจน์ได้ว่าหมอหญิงมาจากเผ่าฉีจริง แล้วจะอย่างไรต่อเล่า นี่รังแต่จะเป็นการสาดน้ำโคลนใส่ตัวนางโดยใช่เหตุก็เท่านั้น
หมอหญิงตายไปหลายปีแล้ว สืบสาวเรื่องชาติกำเนิดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
“เช่นนั้นพวกเรามาคุยกันดีกว่าว่าคำพูดสุดท้ายของซูหวั่นหมายความว่าอย่างไร ท่านลองเดาดู ยาที่หลี่จินผิงให้องค์ชายใหญ่กินเป็นชนิดแรกหรือชนิดที่สอง หากเป็นชนิดแรก นั่นหมายถึงหลี่จินผิงลงเดิมพันไปที่องค์ชายใหญ่ นางหลับนอนกับฝ่าบาทก็เพื่อทดแทนที่ว่างที่หายไปของฮองเฮา คอยเป่าพระกรรณฝ่าบาท หากเป็นชนิดที่สอง นั่นก็น่าสนใจแล้ว หลี่จินผิงให้องค์ชายใหญ่อาการดีขึ้นชั่วคราวก็เพื่อหาเวลาให้ตนเองได้คลอดเจ้าหนูน้ำเต้าคนที่เก้า หรือว่าเบื้องหลังนางอันที่จริงมีผู้อื่นอยู่”
เหยียนเจวี๋ยคิดพลางขมวดคิ้ว พิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าถามว่า “เผ่าฉีอยู่ไกลถึงลี่โจว ในเมื่อไม่เคยตรวจชีพจรให้องค์ชายใหญ่ แล้วจะรู้ได้อย่างไรกันว่าเขาไม่ได้ป่วยไข้ แต่ถูกยาพิษ แม้ว่าเมื่อครู่นี้คำพูดหนึ่งของเจินจีจะเป็นการเถียงข้างๆ คูๆ แต่เห็นได้ชัดว่ามีเหตุผล หากต้องการหายาแก้ให้พบก็ต้องรู้ก่อนว่ายาพิษคืออะไร หลี่จินผิงจับชาวบ้านลี่โจวมาทดลองยา แล้วเช่นนั้นนางรู้ได้อย่างไรว่าองค์ชายใหญ่ถูกพิษชนิดใด”
เฉินวั่งซูส่งเสียงจุปาก นางดูถูกเจ้าหนูน้ำเต้ากลุ่มนั้นเข้าแล้ว ถึงกับมองไม่ออกเลยว่าหนึ่งในนั้นมีคนเป็นเสือซุ่มอยู่ด้วย!
ใต้ฟ้านี้ไม่ต้องจับชีพจร ไม่ต้องตรวจอาการ ทั้งมีพันขุนเขาหมื่นสายน้ำกั้นกลาง แต่ก็ยังรู้ได้ว่าอีกฝ่ายถูกพิษอะไร นอกจากคนที่วางยาพิษแล้วจะยังเป็นใครไปได้อีก
นางคิดแล้วก็พูดเสริมจากคำพูดเหยียนเจวี๋ย “หากนางตั้งใจจะช่วยรักษาองค์ชายใหญ่ แล้วไยต้องคิดยาแก้อีกชนิดที่เหมือนเป็นการเผาเทียนแห่งชีวิตออกมาด้วย”