ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 312-314
บทที่ 313
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ดีอกดีใจขึ้นมาในทันใด “เห็นทีผิงอ๋องคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ในราชสำนักปัจจุบันยังเหลือเจ้าหนูคนใดบ้างที่มีแรงสู้รบตบมือ สี่ หก เจ็ด แปด…”
“เห็นทีเจ้าหนูนี่คงจะชอบกินหน่อไม้ยิ่ง! มิเช่นนั้นไฉนถึงทำร้ายผู้อื่นได้เหมือนกับการปอกหน่อไม้อย่างไรอย่างนั้น ปอกเปลือกหน่อไม้ทีหนึ่งเจอคนเลวที ปอกอีกทีก็เจอคนเลว…”
เหยียนเจวี๋ยเท้าคาง เงยหน้ามองหอกำแพงเมืองหลินอันพลางยกมือชี้ “เห็นทีเรื่องที่ลี่โจวคงจะแพร่มาถึงเมืองหลินอันแล้ว พวกเราทำให้ท้องฟ้าของลี่โจวเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่เกรงว่ายามพวกเราจากมา ท้องฟ้าเมืองหลินอันนี้ก็คงเปลี่ยนแปลงแล้วเช่นกัน”
เฉินวั่งซูพูดพลางมองตามสายตาของเขาไป เห็นเพียงบนหอกำแพงเมืองหลินอันนั้นมีผิงอ๋องในชุดตัวยาวสีเหลืองสดยืนอยู่
สีชุดเช่นนี้หากมิใช่ฮ่องเต้และรัชทายาทก็สวมไม่ได้
เห็นทีในช่วงที่พวกนางอยู่ที่ลี่โจว ผิงอ๋องคงจะได้กลายเป็นรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาสมปรารถนาแล้ว
ดั่งคำกล่าวที่ว่ายิ่งไม่มีสิ่งใดก็ยิ่งชอบโอ้อวดสิ่งนั้น
เมื่อก่อนผิงอ๋องขามีปัญหา บัดนี้เขาจึงชอบอวดว่าขาของตนเองดีแล้วเป็นพิเศษ สวมชุดตัวยาวยังต้องให้สั้นกว่าผู้อื่นสามนิ้วมือ ยืนได้ก็จะไม่นั่ง ยืดตัวตรงได้ก็จะไม่เอนพิงเด็ดขาด
ผู้อื่นล้วนยืนอยู่ด้านล่างหอกำแพงเมือง เขาดันมีความคิดจะไปยืนที่ด้านบน ขาดเพียงไม่ได้ขับร้องเพลงอวดว่า ‘ขาบิดาสามารถวิ่งสามารถกระโดด!’
เฉินวั่งซูขยับมือแสดงท่าทางเล็กน้อย “ท่านว่าข้าหยิบหน้าไม้น้อยยิงจะยิงถูกขาหรือไม่”
เหยียนเจวี๋ยส่ายหน้า ตอบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หยิบหน้าไม้น้อยไปด้วยเหตุใด ข้าเก็บหินมาสักก้อนก็ทำขานั่นหักได้แล้ว ใช้หน้าไม้สิ้นเปลืองเกินไป”
เฉินวั่งซูถอนหายใจ “ท่านดูสิ พวกเราสองคนจิตใจดีปานนี้ กิริยาวาจาอ่อนโยนปานนี้ แต่ก็ยังมีคนป้ายสีพวกเราว่าเป็นปีศาจร้าย บ้านเมืองเสื่อมโทรม ใจคนเสื่อมทรามลงโดยแท้”
เฉิงอู่ที่จอดรถม้าลงแล้วได้ยินก็อดจะลอบค่อนแคะกับตนเองในใจไม่ได้ อืม พวกท่านจิตใจดีจริงๆ ดีจนจะหักขาผู้อื่น
ครั้นรถม้าหยุดลงบนหอกำแพงเมืองก็มีธนูยาวเล็งมาพรึบ หัวธนูชี้ตรงมาที่เหยียนเจวี๋ยกับเฉินวั่งซู
เหวยเต๋อลี่ที่ยืนอยู่ในรถคุมนักโทษมองเห็นภาพนี้ก็เริ่มร้องเรียกสุดชีวิต “ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง…ผิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ รีบมาช่วยกระหม่อมด้วย! ใต้เท้าเหยียนกำเริบเสิบสาน วางอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งๆ ที่เป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ในสามกองงาน แต่กลับเอาขนไก่ไปทำลูกศร* จับคนทั้งตระกูลกระหม่อมขังคุกไม่พอ ยังกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ ฆ่าล้างตระกูลคนตามอำเภอใจ พฤติการณ์ระดับนี้สวรรค์ไม่ให้อภัยเป็นอันขาด! กระหม่อมถูกปรักปรำจนดวงตะวันยังแทบจะหลั่งน้ำตาตกลงมาเป็นหิมะแล้ว! ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง! ใต้หล้านี้ไม่รู้ว่าเป็นของสกุลเจียงหรือว่าเป็นของสกุลเหยียนกันแน่หนอ!”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็จับมือเหยียนเจวี๋ยประคองตัวลงจากรถม้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ในมือนางถือถุงหอมไว้ใบหนึ่งพลางโยนขึ้นโยนลง บนหน้านางมีแววแตกตื่นดีใจ คล้ายว่าคนเหล่านั้นมิใช่ถือธนูเล็งใส่นาง แต่กำลังถือประทัดชูธงใหญ่มาต้อนรับนาง
ทหารรักษาเมืองเห็นท่าทีที่สงบปานนี้กลับประหนึ่งว่ามองเห็นผีร้ายในนรก ต่างถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน ทิ้งผิงอ๋อง…ทิ้งรัชทายาทให้ยืนอยู่ด้านหน้าเพียงผู้เดียวราวกับเป็นเป้านิ่ง!
ผิงอ๋องเห็นแล้วก็พลันหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่คนทั้งหลาย
ตอนนั้นเขาพิการ ไม่ได้เห็นวีรกรรมของเฉินวั่งซูที่ใช้ถุงหอมใบเดียวระเบิดพื้นดินจนเป็นหลุมใหญ่ ย่อมจะไม่รู้ว่าท่าทางเหมือนโยนลูกเสี่ยงทายนี้ของนางดูร้ายแรงมากเพียงไรในสายตาทหารรักษาเมือง
นั่นเป็นระดับยมบาลมาเต้นรำพร้อมกับร้องว่า ‘มาสิ! มาสนุกด้วยกัน!’ อยู่หน้าบ้านเจ้าเลยทีเดียว
ผิงอ๋องพลอยถูกบรรยากาศนี้ชักจูง รู้สึกว่าการที่ตนเองยืนอยู่บนหอกำแพงเมืองช่างดูโง่เขลายิ่งยวด จึงกระโดดลงมาโดยแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ เขาจัดคอเสื้อเล็กน้อย ก่อนมองไปที่เหยียนเจวี๋ย
“เหยียนเจวี๋ย เจ้าอาศัยว่าเสด็จพ่อทรงรักใคร่โปรดปรานเจ้าทำตัวกำเริบเสิบสาน วางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลินอันจนเป็นนิสัยแล้ว เดิมนึกว่าเจ้าสอบได้จิ้นซื่อ เป็นขุนนางแล้ว มีสามกองงานคอยปกครองจะสามารถกลับเนื้อกลับตัวเป็นผู้เป็นคนนับแต่นี้ไป ทว่า…ข่าวจากลี่โจวแพร่มาดังครึกโครมไปทั่วเมือง สกุลเหวยเฝ้าพิทักษ์แถบซื่อชวน ความซื่อสัตย์ภักดีในตลอดหลายปีมานี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ ฮูหยินสามสกุลเหวยผู้นั้นทั้งใจอัดแน่นไปด้วยความอาฆาต ต้องการจะแก้แค้นเรื่องการตายของบิดา ถึงได้โกหกคำโต เอาคนทั้งเมืองมาทดลองยา เรื่องบ้าๆ พรรค์นี้คนปกติล้วนไม่มีทางเชื่อลง ชาวบ้านที่ลี่โจวมีตา แต่เหตุใดจึงไม่มีใครร้องเรียนต่อเบื้องบนเลยสักคนเล่า กลับซาบซึ้งในบุญคุณเผ่าฉีเป็นอย่างสูง ขุนนางสามกองงานธรรมดาๆ เยี่ยงเจ้าไปถึงเมืองลี่โจวทั้งที ไยไม่ตรวจสอบบัญชี ไม่ตรวจสอบเบี้ยหวัดและเสบียงกองทัพ กลับมาทำเรื่องเกินหน้าที่เยี่ยงนั้น หลอกลวงชาวบ้านชนบทที่ไร้ความรู้ บัดนี้แม้แต่นางหญิงวิกลจริตนั่นก็ฆ่าตัวตายหนีความผิดไปแล้ว”
ผิงอ๋องพูดพลางยกมือชี้เหยียนเจวี๋ย “เจ้าใส่ความผู้จงรักภักดีด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฝ่าบาทยังมิได้ทอดพระเนตร กรมอาญา ศาลต้าหลี่ ฝ่ายตรวจการล้วนแต่ยังไม่ได้พิพากษา เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาคุมขังเจ้าเมืองเมืองหนึ่งแล้วคุมตัวมายังเมืองหลวง…เหยียนเจวี๋ย ในสายตาเจ้ายังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่หรือไม่ ข้าจะเป็นตัวแทน…”
เฉินวั่งซูฟังผิงอ๋องพูดแล้วในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมา “ท่านจะเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์มาลงทัณฑ์ข้า*?”
ผิงอ๋องตะลึงงันไป สับสนงงงวยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรตอบรับนางต่อตรงจุดใด
เขาค้นพบตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้วว่าระหว่างเขากับเฉินวั่งซูจะต้องมีคนหนึ่งเป็นไก่ คนหนึ่งเป็นเป็ด พูดกันคนละภาษาโดยธรรมชาติ
“ข้าก็ว่าอยู่ว่าวันนี้ในเมืองหลินอันมีแดดออกอยู่ดีๆ ไฉนจึงมีฝนตกได้ มาเห็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่นี่นา นั่นเป็นเพราะมีคนยืนอยู่บนหอกำแพงเมือง ปากพ่นน้ำลายออกมาเป็นฝอย”
ผิงอ๋องหน้าเปลี่ยนสี จวนจะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว
แม้จะผ่านไปเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่เมืองหลินอันในตอนนี้ผิงอ๋องอย่างเขาอยู่ใต้คนเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่นแล้ว ไหนเลยจะยังมีใครกล้าพูดฉีกหน้าเขาเยี่ยงนี้
ไม่รอให้ผิงอ๋องได้พูดเฉินวั่งซูก็พลันเปลี่ยนสีหน้า นางยกมือขึ้นมาชี้ผิงอ๋อง “เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน? คำนี้ใช้ได้ดีเป็นพิเศษ ใครบอกว่าท่านอ๋องบุ๋นไม่ดีบู๊ไม่ได้เรื่องกันหนอ ข้าจะไปตบหน้าให้สักฉาด ท่านอ๋องตรัสได้เข็มเดียวเห็นเลือด รู้ลึกรู้จริงชัดๆ เป็นเพราะความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจริงๆ”
ผิงอ๋องได้ยินก็ดีใจในทันที ในใจลอบยินดีเหลือประมาณ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเฉินวั่งซูถูกสิ่งใดเข้าสิง แต่นางยอมรับแล้ว ถึงกับยอมรับต่อหน้ากองทัพใหญ่ ยอมรับว่านางกับเหยียนเจวี๋ยมาเล่นงานเหวยเต๋อลี่กับเผ่าฉีเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
“เผ่าฉีทดลองยาอะไรในลี่โจว รักษาโรคอะไร รักษาโรคของใคร” เฉินวั่งซูถามรวดเดียวสามคำถามด้วยท่าทางอันงดงามทรงพลัง จากนั้นก็ไม่รอให้ผู้อื่นได้พูดต่อ นางตอบเองด้วยเสียงอันดังว่า “หลี่จินผิงแห่งเผ่าฉีวางยาพิษชาวบ้านในลี่โจว ทำให้พวกเขามีอาการเจ็บป่วยบริเวณขาเหมือนกันกับผิงอ๋อง จากนั้นก็ทดลองยาไปทีละคน บาดเจ็บล้มตายไปหลายพันคน สุดท้ายเพื่อรักษาผู้ใดจนหายดี”
เฉินวั่งซูพูดพลางชี้ไปที่ขาของผิงอ๋อง “หลี่จินผิงรักษาอาการประชวรของผิงอ๋องจนหายดี นี่เป็น ‘ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน’ ที่ทำเพื่อท่านอ๋องจริงๆ พระเพลานี้รักษาหายดีแล้ว แต่กลับมีผลข้างเคียง หนังพระพักตร์กลายเป็นหนาเสียแล้ว คนที่ได้ประโยชน์จากสกุลเหวยและเผ่าฉีอย่างท่านมีหน้าอะไรมาทวงความเป็นธรรมให้พวกเขาอยู่ตรงนี้ หรือจะบอกว่าท่านอ๋องมีพระประสงค์จะยิงหม่อมฉันกับเหยียนเจวี๋ยให้ตายอยู่ที่นี่ จากนั้นก็ตกแต่งเรื่องที่เหวยเต๋อลี่กับหลี่จินผิงเข่นฆ่าชาวบ้านผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวให้กลายเป็นคุณงามความดีของพวกเขา อ้อ ชีวิตต่ำต้อยของชาวบ้านสามัญชนเทียบกับพระเพลาเพียงข้างเดียวของรัชทายาทได้เสียที่ใดกันเล่า!”