“แน่นอนว่ายังมีจุดประสงค์ที่สาม ท่านไม่รู้หรอกว่าข่าวลือฆ่าคนได้ดีที่สุด หม่อมฉันให้เหยียนเจวี๋ยพูดอะไรไป…พูดว่าจวีเอ๋อกับเจาซวี่เป็นชู้กัน เรื่องนี้ผ่านวันนี้ไปก็จะกลายเป็นตำนานเล่าลือชั่วลูกชั่วหลานในเมืองชายแดน ไม่ใช่สิ ทั่วทั้งแคว้นเป่ยฉีเลยต่างหาก เสือสองตัวมิอาจอยู่ร่วมถ้ำเดียวกัน ท่านอยู่ในคุกใต้ดินเป่ยฉีนานถึงเพียงนั้นยังไม่ค้นพบอีกหรือ…ระหว่างเจาซวี่กับเจวี๋ยขุยปรากฏรอยร้าวขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากเป็นผู้ที่ยื่นคำขาดได้ทั้งนั้น”
เฉินวั่งซูหลุบตาลง ทั้งหมดนี้ล้วนมิใช่นางคิดออกมาส่งเดช แต่มันมีเงื่อนงำอยู่ก่อนแล้ว
เป็นต้นว่าเจาซวี่จับตัวเจียงเหล่าซื่อไว้แล้วเหตุใดถึงไม่ขังไว้ในคุกใหญ่ของเมืองชายแดน กลับไปขังไว้ในจวนของตนเอง
ผีหลิ่งบอกว่าหลังจากฮู่กั๋วกงหายตัวไปขณะไปทำข้อตกลงที่หุบเขาไป๋สือ เจาซวี่ได้พาคนไปปรากฏตัวที่นั่น เจวี๋ยขุยเป็นบุคคลสำคัญ หากเขาไปด้วยผีหลิ่งก็ไม่น่าจะไม่เอ่ยถึง
ทั้งหมดนี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าเจาซวี่คิดเรื่องจับตัวเจียงเหล่าซื่อออกมาเองเพื่อจะสร้างบารมีในกองทัพ แรกสุดเจวี๋ยขุยอาจจะไม่รู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง และต่อมาเจาซวี่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
นี่ก็น่าสนใจแล้ว
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ขณะที่นางกับเหยียนเจวี๋ยรวมถึงฟางเอ้าเทียนแบกฮู่กั๋วกงหนีออกมาจากในสุสานหุบเขาไป๋สือได้บังเอิญเจอกับทัพเป่ยฉีที่เคลื่อนทัพใหญ่มาโจมตีในยามวิกาลเข้าพอดี
แม่ทัพใหญ่ผู้นำทัพคือใคร…ก็คือเจาซวี่
เจวี๋ยขุยได้มาหรือไม่ สรุปคือไม่ได้มา
เมื่อก่อนยามองค์ชายแห่งเป่ยฉีออกรบจะล้วนนั่งรอความดีความชอบอยู่ด้านหลัง แต่ชัดเจนว่าเจาซวี่มิได้เป็นเช่นนั้น
“เจาซวี่กับจวีเอ๋อเป็นสหายในวัยเด็ก ทั่วทั้งเป่ยฉีไม่มีใครไม่รู้ ไม่มีใครไม่เห็น จวีเอ๋อเองก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจาซวี่ ในขณะที่เจวี๋ยขุยแก่กว่านางมากเหลือเกินราวกับเป็นบิดานางก็มิปาน สตรีผู้นี้อาศัยว่ามีชาติกำเนิดสูงส่ง นิสัยหยิ่งยโสยิ่งยวด หม่อมฉันกล้าตบอกพูดได้เลยว่านางไม่พอใจต่อการแต่งงานมาเป็นภรรยาคนใหม่ให้ตาแก่พ่อม่ายภรรยาตายที่เป็นกระสอบทรายอยู่ที่ด่านชายแดน จึงมักจะดูแคลนเจวี๋ยขุยแล้วชื่นชมเจาซวี่อยู่เป็นนิจ…”
เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็พยักหน้า ชมเปาะว่า “ฮูหยินฉลาดล้ำปานเทพเซียน หลังข้าตบจวีเอ๋อ นางได้พูดเรื่องทำนองนี้จริงๆ”
เฉินวั่งซูเชิดหน้าขึ้น…นางเชิดหน้าแรงปานนี้ของชิ้นหนึ่งจึงพลันร่วงลงมาบนกระโปรงนาง
นางหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ต้องส่งเสียงอุทาน “ตายแล้ว! หน้าข้าแตกแล้ว! ท่านยายบอกว่าหลายปีมานี้เจวี๋ยขุยไม่ได้โยกย้ายไปที่ใด ใบหน้านั้นของท่านนางบรรจงทำอยู่หลายปี แต่จวีเอ๋อเพิ่งจะแต่งมาได้ไม่นานจึงทำขึ้นมาแค่พอถูไถในเวลาจวนตัว…ตายแล้ว ร่วงอีกชิ้นแล้ว”
องค์ชายสี่ที่ด้านข้างเห็นแล้วก็หลับตาลง กระเถิบไปด้านข้าง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ สบตากับเหยียนเจวี๋ย ก่อนโคลงศีรษะด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ
นางยังจำครั้งแรกที่ได้พบองค์ชายสี่ในวังได้อยู่เลย
เขาในยามนั้นเพิ่งจะชนะศึกที่ชายแดน ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังเป็นการด่วน คนทั้งหมดล้วนพูดกันว่าเขาเป็นคนแปลกแยกของราชวงศ์ต้าเฉิน เป็นเชื้อพระวงศ์ที่สามารถนำทัพได้ซึ่งพบเห็นได้น้อย ถือเป็นความหวังของแคว้นต้าเฉิน
ยามนั้นเขาจิตใจฮึกเหิม หยิ่งทะนงเหมือนอินทรีเดียวดายบนท้องนภา เจอคนอ้าปากค่อนแคะคน เห็นภูเขาค่อนแคะภูเขา พบสายน้ำค่อนแคะสายน้ำ เห็นฉินเจ่าเอ๋อร์สองคนนั้นก็ค่อนแคะฟ้าค่อนแคะดิน…
แม้องค์ชายสี่จะถูกพวกนางช่วยกลับมาได้ แต่คนผู้นั้นในตอนแรกเกรงว่าคงจะกลับมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะแดกดันว่าข้าเหมือนผีไปนานแล้วกระมัง
“พวกเราหนีออกมาไกลเพียงนี้แล้ว ทางด้านหลังก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก เมืองเซียงหยางอยู่ตรงหน้านี้เอง เหตุใดท่านถึงบอกว่าชาวเป่ยฉียังจะไล่ตามมาอีกเล่า” องค์ชายสี่สูดหายใจลึก ลืมตาขึ้น แล้วมองไปยังเฉินวั่งซูอีกครั้งก่อนเอ่ยถาม
เฉินวั่งซูยื่นมือไปตบผนังรถม้าเบาๆ
“ท่านเป็นองค์ชาย ยามอยู่ที่เมืองหลินอัน ออกจากจวนไปร่วมงานเลี้ยงก็นั่งรถม้า ท่านควรจะรู้ว่าระหว่างรถม้าด้วยกันนั้นมีความแตกต่างกัน”