เขาร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆ น้ำมูกน้ำตาไหล อีกทั้งยังเริ่มสะอึกขึ้นมาด้วย “ข้าจะมีปัญญาทำอะไรได้เล่า เสด็จแม่ทรงฝากความหวังไว้ที่ข้า ตั้งแต่เล็กก็เจ้ากี้เจ้าการกับข้าเสียทุกอย่าง คอยจ้องคอยดู อยากจะหาข้อดีจากตัวข้าให้ได้ แต่ข้าไม่ฉลาด เรียนหนังสือก็ไม่โดดเด่นอะไร มีเพียงร่างกายที่แข็งแรง เรียนขี่ม้ายิงธนูได้ดีกว่าพี่น้องคนอื่นมาก เสด็จแม่ทรงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อจะส่งข้ามาชายแดน พอข้ามาก็โชคเข้าข้าง ได้เจอกับชัยชนะครั้งใหญ่เข้าจริงๆ ข้าเองก็นึกว่าข้ามีพรสวรรค์ทางด้านนี้ กลับถึงเมืองหลินอันทุกผู้ทุกคนต่างชมเชยข้า บอกว่าข้าเป็นว่าที่เทพสงคราม ข้าเองก็หลงเชื่อตามนั้น หลงเชื่อไปจริงๆ
เสด็จแม่ทรงอยู่ในวัง ไร้ที่พึ่งพิง ต้องล่วงเกินคนไปไม่น้อยเพื่อให้ข้าได้แต่งงานกับเจ่าเอ๋อร์ มีชีวิตยากลำบากยิ่งยวด ข้าอยากจะทำการใหญ่สักครั้งหนึ่ง ไม่พูดถึงเป็นฮ่องเต้หรอก เป็นแค่อ๋องที่กุมอำนาจจริงได้ข้าก็พอใจแล้ว ข้าคิดแค่ว่าจะต้องทำให้คนทั้งหมดมาข่มเหงเสด็จแม่ข้าไม่ได้ ข้าคิดแค่ว่าจะทำให้เจ่าเอ๋อร์ไม่ดูถูกข้า ข้าอยากสร้างความดีความชอบเหลือเกิน พวกเขาบอกกับข้าว่าข้ารั้งอยู่ที่หลินอัน ดูแลงานขนส่งทางน้ำกับท่านพ่อตาเป็นการสิ้นเปลืองความสามารถเกินไปจริงๆ ข้าควรเข้าสนามรบ ขอเพียงมีความดีความชอบในการศึกก็จะมีทุกสิ่งอย่าง ข้าเองก็หลงเชื่อตาม เค้นสมองหาช่องทางจนได้มาชายแดนในที่สุด ข้านึกว่าความดีความชอบจ่ออยู่ที่ปากข้าแล้ว แต่ทว่า…” องค์ชายสี่พูดพลางเริ่มร้องไห้โฮ “แต่ทว่า…ใต้หล้านี้มีเรื่องดีไม่คาดฝันอย่างขนมเปี๊ยะตกลงมาจากฟ้าเสียที่ใดกัน ข้าไม่ใช่เทพสงคราม ข้าเป็นเพียงคนโง่เขลา…คนโง่เขลาที่ทำให้คนสองแคว้นเห็นเป็นตัวตลก
อย่างเรื่องที่ท่านคิด ข้ายังคิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงแม้แต่นิดเดียว ข้าถึงขั้นหลงนึกว่าข้าติดโรคระบาด…ข้า…สรุปคือรถม้านี้วิ่งได้ช้า พวกเรามิใช่จะถูกทัพใหญ่ของชาวเป่ยฉีไล่ตามมาทันในอีกไม่นานแล้วหรือไร หุบเขาไป๋สือ…ข้าเคยไปหุบเขาไป๋สือ แม้สภาพพื้นที่จะสลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกต แต่ถ้าทัพใหญ่มาถึงแล้วบุกย่ำทั้งหุบเขาจนราบเป็นหน้ากลองก็ไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว พวกเรามีกันแค่ไม่กี่คน ต่อให้นับองครักษ์ของเหยียนเจวี๋ยด้วยก็ยังมีไม่ถึงยี่สิบคน ร่างกายคนเราทำจากเลือดเนื้อจะตอบโต้การบดขยี้จากทัพใหญ่ได้อย่างไร พวกท่านเสี่ยงมาช่วยข้า…ข้า…ฮึก…ฮึก…”
“เช็ดน้ำตาเสียเถอะ ในเมื่อยังมีแรงร้องไห้อยู่ ประเดี๋ยวก็ใช้แรงสังหารชาวเป่ยฉีให้มากหน่อยแล้วกัน ข้าฟังจากเสียงความเคลื่อนไหว พวกเขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากพวกเราแล้ว ทว่าพวกเราก็มาถึงหุบเขาไป๋สือแล้วเช่นกัน” เหยียนเจวี๋ยพูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้องค์ชายสี่ “ท่านคงไม่ได้คิดกระมังว่าวั่งซูเปลืองแรงไปมากปานนี้เพียงเพื่อช่วยท่านอย่างเดียว เช่นนั้นท่านก็ดูถูกนางเกินไปแล้ว ก่อนพวกข้าออกมานางกับผีหลิ่งได้หารือกันเรียบร้อยแล้วว่าจะวางกำลังดักซุ่มอยู่ในหุบเขานี้ พวกข้าจะล่อทัพเป่ยฉีเข้าหุบเขาไป จากนั้นก็จัดการเด็ดหัวพวกนั้นเสีย ทัพเป่ยฉีเร่งร้อนตามมา กระบวนทัพไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่ทัพฝ่ายเราเตรียมพร้อม ออมกำลังไว้รับมือข้าศึกอยู่นานแล้ว จะต้องคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จแน่นอน”
องค์ชายสี่ฟังแล้วก็พลันเงยหน้า ดวงตาเขาสว่างวาบขึ้นก่อนจะหม่นแสงลงอีกในทันที
ก็จริง คนที่ถูกจับเป็นเชลยอย่างข้ามีค่าอะไรให้เหยียนเจวี๋ยกับเฉินวั่งซูเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมาช่วยกันเล่า
องค์ชายสี่กำลังคิดน้อยเนื้อต่ำใจ กลับพบว่าบนบ่าตนเองมีมือข้างหนึ่งเพิ่มมา “ท่านไม่ได้สำคัญปานนั้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเป็นชาวเป่ยฉีก็ดี หรือจะชาวต้าเฉินก็ช่าง ล้วนไม่มีทางจับจ้องท่านพร้อมวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตลอด ทว่าท่านก็สำคัญยิ่งยวดเช่นกัน เนื่องจากท่านเป็นสามีของผู้อื่น เป็นบุตรชายของผู้อื่น เป็นบิดาของผู้อื่น ท่านเป็นเสาหลักในครอบครัว แม้แต่ฮู่กั๋วกงก็ใช่จะไม่เคยแพ้ศึก หากทุกคนที่พ่ายแพ้ล้วนท้อแท้จนไปกระโดดแม่น้ำตายกันหมด เช่นนั้นข้าคิดว่าต้าเฉินของพวกเราคงจะสูญสิ้นไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว ใครไม่เคยพ่ายแพ้ศึกตงจิงเมื่อสิบปีก่อนบ้างเล่า ชาวต้าเฉินพ่ายแพ้ยับเยิน บ้านเมืองล่มสลาย แต่อย่างน้อยก็ยังมีส่วนหนึ่งที่เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าพวกเรายังสามารถกลับมาเอาชนะได้” เหยียนเจวี๋ยพูดพลางตบบ่าองค์ชายสี่เบาๆ สองสามที “พี่สี่ ท่านแพ้แล้วหรือ แต่ข้ากับวั่งซูไม่ยอมแพ้หรอก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.