เฉินวั่งซูที่ซ่อนตัวอยู่ฟังแล้วก็หรี่ตา
นางว่าแล้วเชียว เฉาเถียนเป็นชาวต้าเฉิน สามารถดำรงตำแหน่งผู้ช่วยแม่ทัพอยู่ในเป่ยฉีได้จะต้องมีจุดที่เหนือกว่าผู้อื่นเป็นแน่แท้ และเขาก็มีหูที่ต่างจากคนปกติมาแต่กำเนิด สามารถได้ยินเสียงที่ผู้อื่นไม่ได้ยิน
เฉาเถียนว่าแล้วก็กระโดดลงจากหลังม้า หมอบลงกับพื้น หลับตา แล้วเริ่มกระดิกหู
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้ลุกขึ้นยืนพลางส่ายศีรษะ “ไม่ได้ยินเสียงกองทัพม้าวิ่ง”
เขาพูดพลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ที่น่าแปลกคือเขาหมอบกับพื้นแล้วกลับได้ยินเสียงลมที่ฟังคล้ายเสียงภูตผีโหยหวนหมาป่าเห่าหอน และยังมีเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่งอีกด้วย
แต่ครั้นนึกถึงคำเล่าลือแสนแปลกประหลาดของหุบเขาไป๋สือเฉาเถียนก็ยั้งคำพูดที่มาจ่อถึงริมฝีปากนี้ไว้
เจวี๋ยขุยสั่งให้เขาฟังแค่เพียงมีชาวต้าเฉินดักซุ่มอยู่หรือไม่เท่านั้น คนอาจจะกลั้นหายใจได้ แต่ม้าทำไม่ได้ ในเมื่อไม่มีเสียงกองทัพม้าวิ่งก็หมายความว่าชาวต้าเฉินหาได้รับข่าวแล้วมุ่งออกจากเมืองมาช่วยคนไม่
หากบอกว่าขี่ม้ามาซุ่มรออยู่ที่นี่ล่วงหน้านั่นก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนอย่างที่เขาบอกก่อนหน้านี้ ปกติม้าไม่สามารถควบคุมตนเองได้เหมือนคน มันยืนอยู่ตรงนั้น พอหมดความอดทนก็จะกระทืบเท้า ส่งเสียงออกจมูก เผยอปากยิงฟันเป็นระยะ
ถ้ามีม้าสักตัวอยู่ไกลออกไปเขาย่อมได้ยินไม่ชัด แต่หากม้ามีจำนวนมากเสียงเคลื่อนไหวก็จะดัง เป็นไปไม่ได้ที่จะรอดพ้นหูของเขา
เฉินวั่งซูที่หลบอยู่หลังหินก้อนใหญ่ฟังคำพูดนี้แล้วก็เหยียดยิ้มมุมปาก
พอข้าเฉินวั่งซูลงมือก็จะได้รู้เองว่า ‘มี’ หรือ ‘ไม่มี’
นางคิดพลางดึงสายเชือกในมือ อีกด้านหนึ่งของเชือกมีเส้นผมสีดำผูกอยู่ช่อหนึ่ง ครั้นนางดึงเส้นผมช่อนั้นก็ลอยออกไปประหนึ่งถูกลมพัดก็มิปาน
แม้จะแค่ชั่วพริบตาเดียว แต่ก็เพียงพอที่เจวี๋ยขุยซึ่งมีวรยุทธ์ติดตัวจะมองเห็นได้ชัดเจน
เขาดีใจเป็นล้นพ้นตามคาด ร้องโหวกเหวกขึ้นว่า “ผิวทางเดินในหุบเขาไป๋สือนี้ขรุขระ เจ้าเด็กสกุลเหยียนเพิ่งเคยมาเยือน พอรถม้าพังแล้วพวกเขาก็หนีไปได้ไม่ไกล เด็กเมื่อวานซืนวางแผนรบบนกระดาษ กระทำการวู่วามด้วยตนเองเพียงคนเดียว ไม่มีบิดามารดาสั่งสอน วันนี้ก็ให้บิดาชาวเป่ยฉีอย่างพวกข้าสั่งสอนเจ้าแทนแล้วกัน!”
เขาพูดจบก็โบกมือ ควบม้าพุ่งตัวนำหน้าเข้าไปในหุบเขา!
กำลังพลที่ด้านหลังเขาเห็นดังนี้ก็กรูกันเข้าหุบเขาแทบจะทันทีประหนึ่งเปิดประตูระบายน้ำ
เฉินวั่งซูหรี่ตา ให้สัญญาณมือแก่คนทางด้านบนหุบเขา
ได้เวลาแล้ว! พอคนเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ คนก็เบียดเสียดกันในหุบเขา ต่อให้เจ้าหลบหลีกเก่งเพียงไรก็มีพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายเท่านั้น ผู้อื่นเพียงใช้กำลังเกลี่ยดินก็สามารถบดให้เจ้ากลายเป็นเนื้อเละๆ ได้!
เฉินวั่งซูยื่นมือออกไป รู้สึกได้ถึงริ้วหมอก ส่วนพลทหารชาวเป่ยฉีก็แทบจะมาถึงตรงหน้านางแล้ว
ในตอนนี้เองเฉินวั่งซูก็กดเบาๆ แทบจะในชั่วพริบตานั้นเหยียนเจวี๋ยได้โอบเอวนางไว้พลางผลุบตัวไปอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็วปานเหาะ
หมอกขาวในหุบเขาแทบจะบดบังสายตาคนไว้ ได้ยินเพียงเสียงดังแกร๊ก
ผิวดินบริเวณนั้นพลันแยกออกเป็นช่องขนาดใหญ่ ทหารเป่ยฉีทั้งหมดที่ยืนอยู่รอบช่องนั้นตกพรวดลงไปประหนึ่งเป็นเกี๊ยวที่จมลงก้นหม้อ ขณะคนยังตอบสนองไม่ทันช่องใหญ่นั้นก็ปิดเข้าหากันอีกครั้งในชั่วพริบตาประหนึ่งว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
ถึงไม่ได้มองเฉินวั่งซูก็นึกภาพออกว่าบ่อน้ำใต้หุบเขาไป๋สือนั้นกำลังเดือดพล่านอยู่ พวกเขาลงไปแล้วก็จะกลายเป็นน้ำแกงเนื้อสดใหม่หนึ่งชาม
นางจุปากสองสามที เสียงนั้นฟังดูเสนาะหูอย่างยิ่ง ดังไปถึงในโสตของเฉาเถียนอย่างแม่นยำราวกับเป็นเสียงมารร้าย
ทัพเป่ยฉีในขณะนี้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เริ่มหวาดหวั่นลนลาน วิ่งไปยังทางออกหุบเขาแล้ว
ทว่ามีคนมากเกินไป คนที่นอกหุบเขายังคงเบียดเข้ามาด้านใน ส่วนคนด้านในหุบเขาก็อยากจะหนีออกไป ในชั่วขณะนั้นเสียงร้องโหยหวนพลันดังมาเข้าโสตอย่างต่อเนื่อง
เฉินวั่งซูหัวเราะอีกสองสามครา เสียงหัวเราะของนางเหมือนว่าดังออกมาจากใต้พื้นดิน เหมือนเป็นเสียงอันเยียบเย็นของผีสาวซึ่งแฝงด้วยแววเยาะหยันและคับแค้นใจ