เจวี๋ยขุยผู้นั้นใช้ดาบใหญ่เป็นอาวุธ ดาบเล่มนั้นหนักยิ่งยวด ยามนี้เห็นว่าแม้เหยียนเจวี๋ยจะเปลี่ยนกลับมาอยู่ในสภาพรูปร่างหน้าตาของตัวเองแล้ว แต่ทรงผมและเสื้อผ้าแทบจะเหมือนกับเขาทุกกระเบียดนิ้วก็นึกถึงเรื่องที่เหยียนเจวี๋ยปลอมตัวเป็นเขาขณะอยู่ในเมืองขึ้นมาได้อีก
เรื่องนี้เป็นความแค้นใหม่รวมกับความแค้นเก่า เขาอาละวาดด้วยดาบใหญ่ ไม่หลบเลี่ยงและก็ไม่ป้องกัน ฟันเข้าหาเหยียนเจวี๋ยอย่างรุนแรง
ในชั่วพริบตาที่ดาบและกระบี่กำลังจะปะทะกันนั้นเองเหยียนเจวี๋ยก็ขยับข้อมือ ตวัดกระบี่ยาวเล่มนั้นแทงเข้าหาเจวี๋ยขุยจากมุมเฉียง
เจวี๋ยขุยเห็นว่าหลบไม่ทันแน่แล้ว ในชั่วพริบตานี้เองก็มีคนผู้หนึ่งแทรกตัวเข้ามาสกัดกระบี่นี้แทนเขา “ท่านแม่ทัพรีบไปเถิด”
เหยียนเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขารู้จักผู้ที่มาขวาง เป็นเฉาเถียนชาวต้าเฉินที่ก่อนหน้านี้เคยคุยกับพวกเขาที่หน้าประตูเมืองจริงๆ
เจวี๋ยขุยอาศัยจังหวะที่เหยียนเจวี๋ยชักกระบี่กัดฟันผลุบตัวขึ้นหลังม้า ฟันพลทหารเป่ยฉีที่กำลังวิ่งหนีขวางทางอยู่ข้างหน้าตนเองทิ้งไปตลอดทาง ก่อนจะควบม้าห้อตะบึงออกจากหุบเขา
เหยียนเจวี๋ยยิงธนูออกไปอย่างดุดัน ธนูยาวดอกนั้นแทงเข้าที่หลังของเจวี๋ยขุย เจวี๋ยขุยล้มลงบนพื้นตามหลังเสียงฟุ่บของลูกธนูทันที เวลานี้มีม้าเร็วตัวหนึ่งผ่านมา แม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งดึงตัวเขาขึ้นม้าแล้วพุ่งออกไปจากหุบเขา
เหยียนเจวี๋ยโคลงศีรษะ หันหลังกลับไปอยู่ข้างกายเฉินวั่งซู
รอบข้างมีแต่เสียงโห่ร้องเสียงประจัญบาน
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยที่เดินมาหาตนเองพลางส่งเสียงหัวเราะ “ไยท่านไม่ไปฟันคนแล้วเล่า ข้าก็อยากจะให้ตนเองมีวรยุทธ์แล้วออกไปกระหน่ำตีสุนัขตกน้ำเหล่านั้นให้น่วมบ้าง!”
เหยียนเจวี๋ยยิ้ม “ท่านพ่อพาคนไปรออยู่ที่ปากทางแล้ว หากข้าฆ่าทิ้งหมดแล้วพวกเขาจะฆ่าอะไรอีก อีกอย่างหนึ่งพวกเราเห็นเพียงเจวี๋ยขุย ไม่เห็นเจาซวี่ ซุ่มโจมตีอยู่ตรงนี้ไปก็เท่านั้น ที่สุดแล้วต้าเฉินอ่อนแอเป่ยฉีแข็งแกร่ง พวกเราไม่สามารถไล่ตามไปโดยปราศจากการไตร่ตรองได้ หากเจาซวี่พาทัพใหญ่มาตั้งรออยู่นอกเมืองชายแดน ทัพเรารุดไปอย่างผลีผลามก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ศึกนี้ได้ชัยชนะครั้งใหญ่แล้ว อีกทั้งพวกเราก็มีตัวประกันอยู่ในมือ รอจัดทัพสักหน่อยค่อยไปปราบเป่ยฉีก็ยังไม่สาย”
เฉินวั่งซูพยักหน้า
การยกทัพออกรบมิใช่แค่แสดงความกล้าหาญอันบุ่มบ่ามชั่วครู่ชั่วยามก็จะสามารถคว้าชัยชนะได้เบ็ดเสร็จ พวกนางเพิ่งจะมาถึง ยังไม่รู้ความสามารถของเฉาเถียน แต่ฮู่กั๋วกงรู้ดี เพื่อจะดักซุ่มท่ามกลางศัตรูพวกนางจึงไม่ได้นำข้าวของและม้าศึกมาด้วย ตั้งใจว่าจัดการเรื่องตรงนี้เสร็จสิ้น ช่วยองค์ชายสี่มาได้แล้วก็จะตรงกลับเมือง
เมืองชายแดนแห่งนั้นเป็นเมืองแบบที่รักษาเมืองได้ง่าย บุกเมืองได้ยาก เมื่อก่อนใช่ว่าฮู่กั๋วกงจะไม่เคยยึดที่นั่นมาได้ แต่แล้วอย่างไรเล่า ชาวต้าเฉินสะสมความอ่อนแอเอาไว้ ต่อให้ตีมาได้ แต่หากรักษาเมืองเอาไว้ไม่ได้ก็เสียแรงเปล่า
ระหว่างที่เหยียนเจวี๋ยพูดเสียงเข่นฆ่าที่ด้านนอกก็ค่อยๆ เริ่มเบาลง
เฉินวั่งซูสบตากับเหยียนเจวี๋ยก่อนเดินออกจากหุบเขา เพิ่งจะโผล่หน้าออกไปก็เห็นผีหลิ่งปราดมาหาด้วยท่าทางปีติยินดี เฉินวั่งซูรู้สึกว่าแม้แต่รอยแผลเป็นบนหน้าเขาก็ดูคล้ายกำลังยิ้มเช่นกัน
“แม่ทัพน้อย เซี่ยนจู่! พวกท่านช่วยองค์ชายออกมาแล้ว ดีเหลือเกิน พวกเราไม่ได้ต่อสู้อย่างสาแก่ใจเท่าวันนี้มานานมากแล้ว แม้จะปล่อยให้เจวี๋ยขุยหนีไปได้ แต่จากที่ข้าเห็น เขาได้รับบาดเจ็บหนักจนหมดสติไปแล้ว ต่อให้รอดชีวิต แม่ทัพที่ตาบอดไปข้างหนึ่งก็มีความสามารถไม่เท่าแต่ก่อนแล้ว! วันนี้มีความสุขเหลือเกิน ไปๆๆ พวกเรารีบกลับเมืองกันเถิด”
เขาพูดพลางก้าวมาข้างหน้า มองดูรอบๆ เล็กน้อย ก่อนลดเสียงลง
“เซี่ยนจู่คาดการณ์ได้ไม่ผิดสักนิด พวกท่านเพิ่งจะจากไปองค์ชายเจ็ดก็มาถึงแล้ว อัญเชิญพระราชโองการจากฝ่าบาทมาเรียกตัวแม่ทัพน้อยกลับไปเป็นการด่วน นี่แสดงชัดว่าผู้ที่อัญเชิญพระราชโองการมานั้นรอการกลับมาของฮู่กั๋วกงอยู่ เซียงหยางมีเสาค้ำแล้วก็…”
ผีหลิ่งพูดพลางกำหมัดแน่น
เหตุใดต้าเฉินถึงปราศจากท่าทีว่าจะดีขึ้น นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้ที่เหลวไหลเลื่อนเปื้อนผู้นี้ปราศจากความใจกว้างต่อผู้อื่น เหยียนเจวี๋ยมีกำลังรบชวนตื่นตะลึง ส่วนมันสมองของเฉินวั่งซู…มิใช่เขาคุยโวโอ้อวด แต่คำว่า ‘วางแผนได้ไม่ผิดพลาด’ นั้นก็หมายถึงนางจริงๆ
หากพวกเขาทั้งครอบครัวตั้งมั่นรักษาชายแดนไว้ได้ การจะบุกยึดดินแดนทางเหนือกลับคืนมาไยต้องกังวลว่าจะใช้เวลาชั่วกัลปาวสาน
เพียงแต่น่าเสียดายที่ข่าวชัยชนะยังไม่ทันแพร่ออกไปแม่ทัพน้อยก็ต้องเดินทางกลับแล้ว
* ไม่อาจเป็นคนอ้วนได้จากการกินเพียงคำเดียว เป็นสำนวน หมายถึงทำสิ่งใดต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ห้ามใจเร็วด่วนได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.