บทที่ 368
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็ให้สะท้อนใจ แม้ฮู่กั๋วกงจะไม่ได้เป็นบิดาที่ดี แต่เขาเป็นแม่ทัพที่ดีมากจริงๆ
“วั่งซู!”
เฉินวั่งซูเปลือกตาขวากระตุก
นางไม่เข้าใจเจ้าของเสียงตื่นเต้นที่คุ้นเคยนี้แม้แต่น้อย สมองขององค์ชายเจ็ดเจียงเยี่ยเฉินถูกล้างไปตามกำหนดเวลาแล้วหรือไร หากนางจำได้มิผิด นางมีคนงามอยู่ในอ้อมอกแล้ว ส่วนเจียงเยี่ยเฉินก็มีลูกน้อยหนึ่งคนแล้วเช่นกัน
ไม่ใช่สิ ตามคำแนะแนวจากระบบหลิ่วอิงที่อยู่ไกลถึงหลินอันมีข่าวดีอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้พวกนางปะทะกันหลายหน ตามหลักควรจะผิดใจกันจนกลายเป็นความแค้นนานแล้ว แต่ไฉนเจ้าคนผู้นี้กลับยังสามารถใช้เสียงตื่นเต้นประหลาดใจเหมือนได้พบสหายเก่าที่ต่างบ้านต่างเมือง คล้ายว่าได้พบรักแรกในงานเลี้ยงพรรค์นี้มาเรียกนาง…
เฉินวั่งซูยังไม่ทันได้หันหน้ากลับไปเหยียนเจวี๋ยก็เบี่ยงตัวมาบังอยู่เบื้องหน้านางแล้ว
“องค์ชายเจ็ดเสด็จมาได้ประจวบเหมาะโดยแท้ หากรู้ก่อนว่าเสบียงจะมาช้ากว่าพวกข้าเพียงสองวัน พวกข้าก็คงไม่ต้องเร่งรุดมาเซียงหยางโดยมิหยุดพักแล้ว ควรจะนั่งรถม้ามากับองค์ชายมากกว่า”
เฉินวั่งซูเห็นเหยียนเจวี๋ยมีท่าทางหึงหวงก็ขยิบตาให้เขา “บางทีองค์ชายเจ็ดอาจจะติดวงล้อไฟให้รถม้า มาด้วยความเร็วเช่นนี้วันหน้าเหล่าทหารยังต้องกังวลว่าจะไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ชายแดนยังต้องกังวลว่าจะไม่มีเสบียงอาหารอีกหรือ ช่างเป็นบุญของต้าเฉินเราโดยแท้!”
ประกายในดวงตาเจียงเยี่ยเฉินหม่นแสงลงแทบจะทันที เขาพูดขึ้นมาราวกับเพิ่งจะมองเห็นเหยียนเจวี๋ย “พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ไม่ต้องเรียกองค์ชายๆ แล้ว พวกเราเรียกกันเหมือนเมื่อก่อนเถอะ เจ้าเรียกข้าว่า ‘เจียงเยี่ยเฉิน’ ข้าเรียกเจ้าว่า ‘เหยียนเจวี๋ย’ แล้วกัน ก่อนหน้านี้พวกเรามีความเข้าใจผิดกันไม่น้อย แต่เหยียนเจวี๋ย พวกเราหาได้มีความแค้นใดๆ ต่อกันไม่ ข้ายิ่งไม่มีความคิดจะทำร้ายเจ้ากับวั่งซู มู่เฉิงกับหลิ่วอิงเองก็เป็นเพราะริษยาที่ข้าเคยหมั้นหมายกับวั่งซูถึงได้กลั่นแกล้งนางสารพัด สิ่งที่พวกนางทำผิดไป ข้าขออภัยต่อพวกเจ้าแทนพวกนางด้วย หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ถือสาหาความ”
เขาพูดพลางชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวอีกว่า “แม่ทัพฉินคุ้มกันเสบียงมาส่ง ยามนี้ยังมาไม่ถึง หลังพวกเจ้าจากไปเสด็จพ่อก็ได้ออกพระราชโองการฉบับใหม่ จึงทรงส่งข้าให้นำพระราชโองการล่วงหน้ามาก่อน พวกเจ้าเพิ่งจะออกไป ข้าก็ตามหลังมาทันที หากมิใช่เพราะประสบอันตรายระหว่างทาง หวิดจะสิ้นชีวิตคงจะมาถึงเร็วกว่านี้หนึ่งวัน”
เขาพูดพลางมองเฉินวั่งซูอีกปราดหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างติดจะเยาะหยันตนเอง “เป็นเพราะประสบผ่านความเป็นความตายมานี่ล่ะที่ทำให้ข้าคิดตกได้หลายเรื่อง ไมตรีในวัยเยาว์ล้ำค่าที่สุดแล้ว เหยียนเจวี๋ย พวกเรายังสามารถเป็นพี่น้องกันได้อยู่หรือไม่”
เหยียนเจวี๋ยมุ่นหัวคิ้ว ยื่นนิ้วแทงเข้าไปในพื้น แล้วดึงอิฐก้อนหนึ่งออกมายื่นให้เฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูรับมาอย่างปราศจากความลังเล ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น
นางชูมือขึ้นพร้อมกับยิ้มตาหยี ชูอิฐก้อนนั้นขึ้นสูง ทันใดนั้นก็พลันเปลี่ยนสีหน้า ทุ่มมันใส่หลังเท้าเจียงเยี่ยเฉิน บุรุษต่ำช้าหลายใจยังคิดจะเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับคนงามเหยียนของข้า?!
มือนางรวดเร็วอีกทั้งแม่นยำ ทุ่มใส่หลังเท้าเขาดังตุ้บในขณะที่เจียงเยี่ยเฉินยังไม่ทันมีอาการตอบสนอง
เจียงเยี่ยเฉินหน้าเขียวคล้ำ เจ็บจนน้ำตาไหลพราก เขากุมเท้าตนเองไว้พลางกระโดดเหยงๆ กับที่
ชายชราหนวดขาวที่ยืนหัวเราะร่าอยู่ข้างเฉินวั่งซูผู้นั้นได้ยินเสียงครวญครางของเจียงเยี่ยเฉินก็พลันหันหน้ากลับมา เงื้อไม้เท้าเขกเข้าที่หน้าผากเขา
“เจ้าเด็กเวรนี่ พวกข้ากำลังมีความสุข เจ้ามาร้องไห้หน้าศพอะไรกัน!”
เจียงเยี่ยเฉินมือหนึ่งกุมเท้า อีกมือกุมศีรษะ ประกายไฟในดวงตาแทบจะปะทุออกมา
เฉินวั่งซูพยักหน้าพลางปัดฝุ่นบนมือ
นี่สิถึงจะถูกต้อง พวกเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันนานแล้ว หมาป่าตัวเขื่องอย่างเจ้ายังจะแสร้งทำตัวเป็นกระต่ายขาวตัวน้อยอะไรอีก รังแต่จะทำให้คนสะอิดสะเอียนเสียเปล่าๆ
“ระหว่างพวกเรามีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อยจริงๆ ทว่าเจียงเยี่ยเฉิน ระหว่างพวกเราไม่มีความแค้นฝังลึกใดๆ วั่งซูเองก็แค่มักจะสะอิดสะเอียนจนนอนไม่หลับเนื่องจากการหมั้นหมายในสมัยก่อนเป็นเหตุ นี่ถึงได้ใจลอยพลั้งมือไปชั่วขณะ ทำเรื่องที่อยากทำแม้แต่ในฝันออกมาเท่านั้นเอง นางทำไม่ถูกต้อง ข้าขออภัยแทนนางด้วย ขอท่านโปรดอย่าได้ถือสาหาความ”
มือที่กุมหัวอยู่ของเจียงเยี่ยเฉินแข็งค้างไปแล้ว เขาลดมือลงอย่างเชื่องช้า ยืดตัวยืนตรง แต่ยังคงเจ็บอยู่มาก
เฉินวั่งซูเค้นพลังสุดแรงเกิดเลยทีเดียว หากมิได้อยู่ท่ามกลางธารกำนัลอิฐก้อนนี้คงทำให้ข้าหัวแบะได้เลยกระมัง!
เจียงเยี่ยเฉินเจ็บจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน เขาคิดแล้วก็ยกมือหนึ่งกุมศีรษะ อีกมือกุมเท้าไว้อีกครั้ง