บทที่ 369
ในดวงตาผู้สูงศักดิ์ปรากฏประกายน้ำ มือสั่นน้อยๆ สองสามที เขาเอ่ยคำว่า “ผู้มีพระคุณ” ออกจากปากอีกครั้งภายใต้พลังกดดันจากแม่เสือ มีน้ำใสใจจริงเพิ่มมาอย่างเต็มเปี่ยม
ในขณะที่เขาโผร่างล้มลงตรงหน้าเฉินวั่งซู มือใหญ่ข้างหนึ่งของเหยียนเจวี๋ยก็ยื่นมาขวางเขาไว้แล้ว
เขาสะบัดแขนเสื้อเบาๆ อธิบายด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่านโดยไม่สนใจเจียงเยี่ยเฉินที่ตระหนกตกใจอยู่ด้านข้าง “พอได้พบผู้มีพระคุณในวันนี้ข้าก็จำได้ทันที ล้วนต้องตำหนิข้าที่ก่อนหน้านี้หูตาฝ้าฟาง ถูกคนถ่อยหลอกเอาถึงได้หลงจำผิดคน พอแยกจากกันที่ทะเลสาบซีหูในวันนั้นข้านอนอยู่สามเดือนเต็มๆ กว่าจะหายดี คืนนั้นมืดมิดข้าจึงจำได้ไม่ชัด เพียงจำได้ว่าบุรุษหล่อเหลา สตรีงดงาม เป็นชนชั้นสูงขุนนางใหญ่ในเมืองหลินอัน”
เขาพูดพลางชี้เจียงเยี่ยเฉินที่กลายเป็นหินไปแล้ว “คนผู้นี้แต่งตัวหรูหราโอ่อ่า เจอโจรปล้นกลางทาง ถูกลอกคราบจนเกลี้ยงแล้วจับห้อยไว้บนต้นไม้ เป็นข้าผ่านทางไปถึงได้ช่วยเขาลงมา”
ลอกคราบจนเกลี้ยง?!
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกายในทันที สวรรค์! ยามที่เจียงเยี่ยเฉินประสบกับความอัปยศอดสูเยี่ยงนี้ข้ากลับไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่รู้ว่าผู้ที่มาดักปล้นนั้นเป็นพี่น้องคนใด ท้องฟ้าเป็นพยานอยู่เบื้องบน ผืนดินเป็นพยานอยู่เบื้องล่าง จะสาบานเป็นพี่น้องกับข้าหรือไม่
เจียงเยี่ยเฉินในเวลานี้ได้ยินก็อับอายจนแดงเถือกไปทั้งหน้าแล้ว เขาแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ข้าไม่ได้หลอกลวงเจ้าเสียหน่อย เป็นเจ้าเรียกข้าว่าผู้มีพระคุณเอง ข้า…ข้า…”
เจียงเยี่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อ เดินกะโผลกกะเผลกเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชนแล้วหายลับไปทันใด
ผู้สูงศักดิ์มองแผ่นหลังของเจียงเยี่ยเฉินด้วยความเจ็บใจทีหนึ่ง “ยาขี้ผึ้งนั้นของข้าหายากอย่างยิ่ง กลับยกให้เจ้าคนเนรคุณไปเสียแล้ว สาเหตุที่ข้าเข้าใจผิดล้วนเป็นเพราะเจ้านั่นพูดเองว่าเขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาข้ายิ่งยวด คล้ายว่าเคยได้เห็นจากที่ใด สองปีมานี้ข้าไปหลินอันเพียงครั้งเดียว เมื่อซักถามดูเขาก็บอกว่าวันนั้นเขาไปริมทะเลสาบซีหู ทั้งยังเล่าเรื่องที่ได้ช่วยข้าให้ฟัง…โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กนั่นจำข้าได้จึงได้จงใจหลอกข้านี่เอง!”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ยิ่งสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
ฟังจากความหมายในคำบอกเล่านี้ของผู้สูงศักดิ์ เขานับว่ามีชื่อเสียงพอตัว แม้แต่เจียงเยี่ยเฉินก็ยังอยากจะดึงเขาเป็นพวก
ก็จริง หากไม่มีฝีมือเลยสักนิดจะคู่ควรให้ระบบระบุฐานะ ‘ผู้สูงศักดิ์’ ของเขาออกมาถึงสองครั้งสองคราได้อย่างไร
“ท่านคือ…” เฉินวั่งซูถาม
ผู้สูงศักดิ์นิ่งงันไป “ท่านไม่รู้จักข้า? ท่านไม่รู้จักข้า แต่วันนั้นยังจะช่วยข้าไว้?”
เฉินวั่งซูยกมือปิดปาก “เฮ้อ ช่วยไม่ได้นี่นา สามีข้าชมข้าเป็นประจำว่าจิตใจดีเกินไป แม้แต่มดที่อยู่ข้างทางตัวเดียวก็ยังบี้ให้ตายไม่ลง”
ประเดี๋ยวก่อน…ท่านเอาชนะแปดคนด้วยตัวคนเดียว ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะลวงสังหารชาวเป่ยฉีไปไม่รู้ตั้งเท่าไร หน้าทำด้วยอะไรถึงยังกล้าเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ออกมาได้อีก!
“ผู้น้อยมีนามว่าเถียนกุ้ยเหริน บัดนี้ท่านรู้จักข้าแล้วกระมัง” เถียนกุ้ยเหรินพูดพลางลูบเคราตนเองด้วยท่าทางกระหยิ่มใจ
ในสมองเฉินวั่งซูมีเสียงดังวิ้งๆ ราวกับถูกสายฟ้าฟาดทั้งที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
อะไรเรียกว่า ‘เรือล่มในท่อระบายน้ำ’ นี่อย่างไรเล่า! นางยังคิดอยู่เลยว่าคนผู้นี้ร้ายกาจมากเพียงไรกันแน่ หรือว่าจะเป็นลูกพี่ใหญ่ที่ปกปิดตัวตน ภายภาคหน้าจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เจียงเยี่ยเฉินได้เป็นฮ่องเต้
วุ่นวายอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ที่แท้คนเขาก็มีนามว่ากุ้ยเหริน! ระบบเองก็มิได้พูดผิด นี่มิใช่ว่าได้พบ ‘ผู้สูงศักดิ์’ หรือไร*!
เถียนกุ้ยเหรินอวดตัวว่าเป็นผู้มากประสบการณ์ แต่เวลานี้กลับมองไม่ออกเลยว่าเฉินวั่งซูหมายความเช่นไรกันแน่ ไยจึงรู้สึกราวกับถูกคนหลอกเอาเงินไปห้าพันพวงในพริบตาเดียว
แต่มีจุดหนึ่งที่เขาแน่ใจได้เกินร้อย นั่นก็คือเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยไม่รู้จักเขาจริงๆ ถ้าเช่นนั้นวันนั้นที่ริมทะเลสาบซีหูที่เฉินวั่งซูบอกให้เหยียนเจวี๋ยช่วยเขาก็ทำด้วยความจริงใจอันแท้จริงโดยมิหวังสิ่งตอบแทน
เขาคิดได้เช่นนี้ก็ให้อบอุ่นในใจ ยิ่งจริงใจขึ้นกว่าเดิม
“ที่นี่คนมาก เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ คุยกันลำบาก มิสู้ผู้มีพระคุณทั้งสองท่านตามข้ามาจะดีกว่า ในเมืองเซียงหยางนี้มีหอวั่งเป่ยอยู่แห่งหนึ่ง เป็นกิจการของข้าเอง ขาแกะย่างที่นั่นหนังกรอบแต่ไม่มันเลี่ยน กัดแล้วน้ำจากเนื้อแกะจะออกมาเต็มปาก เลิศรสยิ่งยวด เครื่องเทศที่ปรุงรสแกะย่างนั้นเป็นตำรับลับที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ พิเศษไม่เหมือนใคร ผู้มีพระคุณจะต้องลองชิมดูให้ได้เชียว และไหนจะสุราจิ่วจงเซียนนั่นอีก ดื่มแล้วไม่ทำให้เมาง่าย เหมาะจะให้สตรีดื่ม”
วิ่งวุ่นมานานปานนี้เฉินวั่งซูกำลังหิวมากพอดี จึงตามไปหอวั่งเป่ยแห่งนั้นกับเถียนกุ้ยเหรินอย่างไม่เกรงใจ