บทที่ 370
สรุปคือชาติก่อนเจียงเยี่ยเฉินสมองมีปัญหาถึงได้ต้องการหมอในยุทธภพมาช่วยเหลือ!
“ดูสิ บนฟ้ามีวัวด้วย!”
เถียนกุ้ยเหรินได้ยินก็รีบมองไปนอกหน้าต่าง “ตรงที่ใดๆ”
เฉินวั่งซูพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่มิใช่ท่านพ่นลมหายใจออกมาทีเดียววัวก็ลอยขึ้นฟ้าไปแล้วหรือไร*!”
เถียนกุ้ยเหรินยกมือปิดหน้า ในดวงตามีหยาดน้ำแวววาวปรากฏอยู่ “เห็นทีข้าคงจะชราแล้วจริงๆ โลกนี้ถึงกับไม่มีใครรู้จักข้าเถียนกุ้ยเหรินแล้ว”
เขายังไม่ทันได้รำพึงรำพันจนจบเหยียนเจวี๋ยที่อยู่ด้านข้างก็ยื่นมือตนเองออกมาแล้ว
“จับชีพจร!”
เถียนกุ้ยเหรินอึ้งงันไป เอื้อมมือไปแตะชีพจรตามจิตใต้สำนึก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เก็บขวดกระเบื้องเคลือบใบน้อยที่เลื่อนไปให้เหยียนเจวี๋ยกลับมาในทันทีด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“เอาใหม่ๆ ถือเสียว่าบรรดาเรื่องที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเสียงผายลม ได้ยินแล้วก็แล้วไป ผู้มีพระคุณร่างกายแข็งแรงอย่างยิ่ง แม้ข้าจะไม่กระจ่างว่าเหตุใดถึง…แต่ร่างกายของทั้งสองท่านล้วนไม่มีข้อบกพร่องใดๆ”
เรื่องที่เกินจำเป็นเถียนกุ้ยเหรินมิได้พูด เขาเป็นหมอ มีความลับอะไรไม่เคยเห็นบ้าง
สามีหนุ่มภรรยาสาวทั้งสองแต่งงานแล้วไม่เข้าหอกัน แม้จะประหลาดหายาก แต่ใช่ว่าจะไม่มี
ครานี้เหยียนเจวี๋ยถึงได้เก็บมือกลับไปด้วยสีหน้าเยียบเย็น
ล้อเล่นกันหรือไร คนแซ่เถียนผู้นี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นพวกปากสว่าง หากวันนี้ข้ายอมแบกรับบาปนี้ ดีไม่ดีรอเขากลับถึงหลินอัน คนทั่วทั้งเมืองคงจะได้หัวเราะเยาะว่าข้าใช้การไม่ได้แล้ว
เถียนกุ้ยเหรินรู้ว่าตนเองพลั้งปากก็หัวเราะอย่างเก้อกระดาก เปลี่ยนไปหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีน้ำตาลออกมาในทันใด “ข้างในนี้มียาสองเม็ด สามารถบรรเทาสารพัดพิษได้ หากวันข้างหน้าทั้งสองท่านโชคร้ายถูกพิษเข้า แล้วยังหายาแก้พิษไม่ได้ในเวลาอันสั้นก็รีบกินสิ่งนี้ลงไป แม้จะแก้พิษไม่ได้ แต่สามารถประวิงเวลาที่พิษจะออกฤทธิ์ พวกท่านก็จะมีเวลาให้แก้พิษเพิ่มขึ้น”
เฉินวั่งซูฟังมาถึงตรงนี้ในหัวกลับปรากฏภาพภาพหนึ่งขึ้นมา
นั่นเป็นเรื่องในอดีตตั้งแต่สมัยอยู่ที่เมืองตงจิงเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
ในเรือนด้านหลังที่ว่าการเมืองไคเฟิงจะจุดกำยานกลิ่นต้นสนไว้ตลอดทั้งปี เฉินเป่ยผู้เป็นปู่มีฐานะเป็นเจ้าเมืองไคเฟิง พิพากษาคดีนับไม่ถ้วนย่อมจะล่วงเกินคนไม่น้อยเช่นกัน นางนั่งอยู่บนตักท่านปู่ กำลังกินขนมน้ำตาลขาวชิ้นหนึ่ง
กัดทีก็มีเศษน้ำตาลร่วงลงบนชุดตัวยาวสีนิลของผู้เป็นปู่จำนวนมาก
ท่านปู่เอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้โยก มือถือม้วนหนังสืออ่านออกเสียงเบาๆ ประหนึ่งว่าไม่เห็นเศษขนมก็มิปาน
นางกินไปสามคำจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเริ่มหายใจลำบาก โลกตรงหน้าหมุนคว้าง ครั้นยกมือแตะดูก็มีเลือดทะลักออกมาจากในจมูกแล้ว แม้ยามนี้นางจะอายุเพียงราวห้าขวบ แต่ที่น่าประหลาดคือในความทรงจำของนาง นางหาได้ร้องไห้ไม่
ท่านปู่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง แต่ก็มิได้ปลอบขวัญนาง เพียงล้วงยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ยัดเข้าปากเฉินวั่งซูอย่างรวดเร็ว
ท่านปู่ปฏิบัติต่อนางต่างจากการปฏิบัติต่อเด็กไม่รู้ความคนหนึ่งเสมอมา ส่วนนางที่อยู่ในวัยไม่รู้ความกลับดูคล้ายจะเข้าใจไปเสียทุกอย่าง
ท่านปู่ป้อนยาให้นางเสร็จก็กล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน ‘เมื่อวานข้าเสี่ยงทาย ทำนายได้ว่าเจ้าจะมีเคราะห์เลือดตกยางออก จะถูกคนถ่อยลอบทำร้าย ข้าจึงไปขอยาจากเถียนกุ้ยเหรินมาเม็ดหนึ่ง เผื่อไว้ใช้ในยามจำเป็น คิดไม่ถึงว่าผลการเสี่ยงทายจะเป็นจริง ฉงหลี เจ้าไปเชิญหมอหลวงเถียนที่ตรอกหลีซินมาที’
ครู่เดียวบุรุษอายุราวสามสิบกว่าในชุดสีเขียวหมวกสีเขียวผู้หนึ่งก็มาถึง เขาสะพายล่วมยา พุ่งตัวเข้ามาด้วยความรีบร้อน ‘ปลาของข้าเพิ่งจะติดเบ็ดก็ถูกฉงหลีเรียกมาแล้ว! ข้ามิใช่เคยให้ยาแก่ท่านไว้แล้วหรือไร กินยาเม็ดนั้นลงไปแล้ว เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันก็ยังไม่ตาย ไหนเลยจะต้องให้ข้ารีบมาอย่างเร่งด่วนปานนี้ อีกประการหนึ่งหลานสาวผู้นี้ของท่านน่ะแข็งแรงเสียจนข้าจับชีพจรให้ยังถูกแรงจากเส้นเลือดนางดีดนิ้วออกได้ เข้าไปใกล้ขึ้นแค่ก้าวเดียวพลังชีวิตนั้นยังพุ่งส่งมาให้ข้าเลย!’
นอกจากสวมชุดสีเขียวทั้งตัวแล้วคนผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนผ่านทางหมายเลขหนึ่งที่ปราศจากศักดิ์ศรี ขี้บ่นซ้ำซาก และปกติธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น