“มิใช่ข้าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คนเรานี้มักจะปลงไม่ตก ได้มาเกิดเป็นพระโอรสของฮ่องเต้นับว่าชีวิตไม่มีทุกข์ร้อนแล้ว ต่อให้ไม่ทำการทำงาน ไม่ศึกษาเล่าเรียนก็ยังจะได้เป็นอ๋องอย่างเป็นที่แน่นอน สามารถกินดื่มเล่นสนุกไปชั่วชีวิตไม่ดีหรือไร กลับจะต่อสู้กันเป็นไก่ชนให้จงได้ ข้าอุตส่าห์เลิกเป็นหมอหลวงแล้ว มีหนูที่ใดอยากวิ่งกลับไปตายในปากแมวบ้างเล่า”
ครั้นเห็นเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยไม่พูดอะไร สนใจแต่เรื่องกินอาหารเถียนกุ้ยเหรินก็รู้สึกขนลุกในใจ เขาเป็นปลาเค็มตัวหนึ่ง แต่หน่วยก้านอย่างจอมยุทธ์หญิงผู้นี้แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นผู้ที่จะทำการใหญ่!
เขาพูดเยี่ยงนี้ หากจอมยุทธ์หญิงไม่ยินดีจะฟัง หยิบเอาหน้าไม้น้อยออกมายิงเขาล่ะ…
เถียนกุ้ยเหรินแววตาวูบไหว สอดมืดเข้าอกเสื้อ ก่อนออกแรงควานหาของอย่างรู้สึกเจ็บหน้าแข้งอยู่บ้าง
เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยวางตะเกียบในมือลงอย่างรู้ใจกัน ในขณะที่นางคิดว่าเถียนกุ้ยเหรินจะควักขี้ไคลในรักแร้ออกมาหลอกว่าเป็นโอสถวิเศษนี้เอง เขากลับล้วงยาลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดจิ๋วออกมาเม็ดหนึ่ง
ยาลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งนี้ดูมีสีสันสดใสแวววาว ตาเนื้อมองดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
“หากผู้มีพระคุณเองก็ปรารถนาให้ข้าไปช่วยฝ่าบาท เช่นนั้นก็นำสิ่งนี้ไปเถิด หากพญายมต้องการชีวิตฝ่าบาท เช่นนั้นก็ช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว ทว่ากินยานี้ลงไปยังพอจะยืดเวลาได้หนึ่งปี ยานี้ข้าเองก็มีอยู่เพียงหนึ่งเม็ด หากพวกท่านรับมันไปแล้วบุญคุณระหว่างพวกเราก็นับว่าหายกัน”
เฉินวั่งซูดันยาลูกกลอนเม็ดนั้นกลับไปอย่างปราศจากความลังเล “ฝ่าบาทมิใช่บิดาข้าเสียหน่อย เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า” นางว่าแล้วก็เช็ดมือด้วยท่าทางเหยียดหยาม “คราวหน้าอย่าซ่อนยาไว้ในตัว ใครจะไปรู้ว่านานเท่าไรกว่าท่านจะอาบน้ำสักครั้ง ยานั่นยังกินได้อยู่หรือ”
เถียนกุ้ยเหรินนิ่งงันไป คนทั้งสามสบตากัน ก่อนจะหัวเราะร่วนด้วยความเข้าใจกัน
เฉินวั่งซูยกยิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็นึกอยากพบเฉินเป่ยสักครั้ง
ท่านปู่ของนางต้องเป็นคนที่พิเศษยิ่งยวดแน่นอน ‘บรรดาสหายเก่าแก่’ ที่เขารู้จักถึงล้วนแต่เป็นคนที่พิเศษเยี่ยงนี้เช่นกัน
อาหารมื้อนี้ใช้เวลากินเนิ่นนาน
เถียนกุ้ยเหรินกลับมิได้เล่าเรื่องใดๆ ที่เป็นความลับของราชสำนักอีก เพียงแต่เริ่มคะยั้นคะยอให้พวกนางดื่มสุราและกินเนื้อ
“ชิมขาแกะย่างนี่ดู ในสมัยโน้นปู่ท่านชอบเป็นพิเศษ อย่าเห็นว่าปกติเขาดูสูงศักดิ์ไปทั้งตัว แต่สิ่งที่ชอบที่สุดยังคงเป็นการตระเวนหาของอร่อยกิน ขาแกะย่างนี้…สมัยก่อนน่ะซ่อนตัวอยู่ในตรอกลึกเส้นหนึ่งในเมืองตงจิง ครั้งแรกที่ข้าไป…อา ข้านึกขึ้นได้แล้ว เวลานั้นท่านเพิ่งจะเกิดได้ไม่นานนัก แต่ไม่ยอมดื่มนม ปู่ท่านเปลี่ยนแม่นมให้ท่านไปแปดคน ท่านล้วนไม่ยอมอ้าปาก ครั้นเห็นว่าท่านใกล้จะหิวตายเต็มทีแล้วจึงได้เรียกข้าไปหา ข้าต้มน้ำแกงหวงเหลียนให้ท่าน ป้อนให้ท่านดื่ม! ให้ตายสิ…มิใช่ข้าคุยโวนะ หลังจากดื่มสิ่งนั้นเข้าไป อย่าว่าแต่ดื่มนมเลย แค่ให้ท่านดื่มน้ำท่านยังรู้สึกว่าหอมหวาน! ท่านเติบโตมาได้ถึงทุกวันนี้ล้วนต้องขอบคุณข้า! ปู่ท่านได้เลี้ยงขาแกะย่างนั้นเพื่อเป็นการขอบคุณข้า ต่อมาข้าก็ได้ซื้อตำรับการทำเอาไว้…”
เถียนกุ้ยเหรินมองเห็นสายตาปานกระบี่คมกริบของเฉินวั่งซูแล้วก็แทบอยากจะฟาดหน้าตนเองฉาดใหญ่ๆ เขาผู้นี้ชอบพลั้งเผลอพูดจาผิดหู มิเช่นนั้นตอนนั้นจะถูกฮ่องเต้ไล่ออกมาได้อย่างไรเล่า!
“เรื่องที่กล่าวมาเมื่อครู่ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด! เอาใหม่ๆ ข้าจะพูดใหม่ เวลานั้นข้าต้มน้ำใส่น้ำตาลทรายแดงแล้วผสมกับนมวัวให้ท่าน สั่งให้คนป้อนให้ท่านดื่ม เป็นเรื่องจริง! ที่ท่านมีรูปโฉมงดงามปานนี้ล้วนต้องขอบคุณวัว!”