เหยียนเจวี๋ยคิดพลางมองดูยาเร่งบุตรเหล่านั้นที่เถียนกุ้ยเหรินให้เขามา ครั้นแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เอื้อมมือไปโอบเอวเฉินวั่งซูไว้
“จั๊กจี้!” เฉินวั่งซูหัวเราะคิกคักขึ้นมา นางพลันพลิกตัว ทำให้สบตากับเหยียนเจวี๋ยเข้าพอดี
พอมองดูดวงตาของเขาในแวบแรกออกจะใสสะอาดปานนั้น แต่เมื่อมองดูดีๆ กลับลึกล้ำจนเหมือนว่ามองไม่เห็นก้นบึ้งก็มิปาน
ในระหว่างที่เคลิบเคลิ้มเฉินวั่งซูถึงกับรู้สึกว่าฉินเจินเองก็มีดวงตาเช่นนี้
สายตาคนทั้งคู่ประสานกัน ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใด
จู่ๆ เฉินวั่งซูก็หลับตาลง
เหยียนเจวี๋ยคำรามลั่นในใจ หากเวลานี้ยังถอยก็ไม่ใช่คนแล้ว!
เขาคิดแล้วก็โน้มตัวไปใกล้อย่างปราศจากความลังเล เกี่ยวกระหวัดรัดพันร่างอรชร
ผ่านไปครู่ใหญ่คนทั้งสองถึงได้นอนราบโดยที่หน้าแดงไปถึงหู
หัวใจเฉินวั่งซูเต้นตึกตัก สุรานี้แรงมากจริงๆ! เห็นชัดว่านางสติไม่แจ่มชัด มิเช่นนั้นในสายตานางไฉนถึงเห็นม่านเตียงสีขาวกลายเป็นสีชมพูไปได้ แล้วไหนจะเป็ดป่านั่นอีก มันกลายเป็นยวนยางในสายตานางไปแล้ว
“ฝุ่นเข้าตา ข้าถึงได้หลับตา”
เฉินวั่งซูให้เหตุผลอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เหยียนเจวี๋ยหัวเราะ “ข้าเองก็ยันตัวไม่อยู่เลยล้มลงไปหาเจ้า…”
เฉินวั่งซูโกรธในทันใด ยกเท้าจะถีบ กลับถูกเหยียนเจวี๋ยที่อยู่ในผ้าห่มใช้มือข้างหนึ่งจับเอาไว้
“แม้ว่าขาของภรรยาจะสวยยิ่ง แต่ข้าผู้เป็นสามีเพิ่งจะกินขาแกะย่างมา ทั้งหอมทั้งสวย เก็บขาของเจ้าไว้ย่างวันพรุ่งนี้จะดีกว่า”
เฉินวั่งซูกำลังจะบันดาลโทสะก็เห็นเหยียนเจวี๋ยกระแซะตัวเข้าหา “ฝุ่นเข้าตาภรรยาล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เห็นโฉมงามก็ห้ามใจไม่ไหว ภรรยาอย่าโมโหไปเลย”
เขาคิดแล้วก็ส่งสายตาหวานเยิ้มให้เฉินวั่งซู เนื่องจากไม่มีคันฉ่องเขาจึงไม่รู้ว่าสายตาของเขาที่ส่งไปเหมือนกับเหลือกตาใส่หรือไม่…
ทว่าเฉินวั่งซูเห็นแล้วกลับใจละลาย “ท่านลองส่งตาหวานมาอีกทีซิ ช่างน่ามองโดยแท้”
เหยียนเจวี๋ยส่งตาหวานให้อีกทีอย่างไม่รีรอ
เฉินวั่งซูตื่นเต้นแล้ว “เอาอีก!”
เหยียนเจวี๋ยส่งไปอีกที
“เอาอีก…”
เหยียนเจวี๋ยเปลือกตากระตุก “เอาอีกทีคงได้เป็นตะคริวแล้ว”
“เอาอีกทีน่า! น่ามองจริงๆ”
เหยียนเจวี๋ยสูดหายใจลึก ส่งสายตาให้อย่างสั่นๆ คราวนี้แม้ไม่มีคันฉ่องเขายังรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังเหลือกตา
“ยังจะเอาอีกหรือไม่” เหยียนเจวี๋ยรออยู่ครึ่งค่อนวันยังไม่ได้รับคำตอบก็ขยี้ตาก้มหน้ามอง ผู้ที่ก่อนหน้านี้ยังขอให้เขาส่งตาหวานได้หลับอุตุไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
เขาโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ พลิกตัวนอนลง เอามือพาดเอวเฉินวั่งซูอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้นางมิได้บ่นจั๊กจี้แล้วตื่นขึ้นมา
เหยียนเจวี๋ยเบียดตัวไปใกล้ขึ้นอีก ก่อนเริ่มครวญเพลง
ตอนเขาเยาว์วัย ก่อนมารดาจะฆ่าตัวตายมีหนหนึ่งเขาล้มป่วย มารดาก็โอบเขาไว้พร้อมกับครวญเพลงบ้านเกิดนางให้เขาฟังเยี่ยงนี้
แม้ว่าในใจเขามารดาจะเป็นมุมอันเยียบเย็นที่ไม่อาจไปแตะต้องได้ แต่เพลงนี้กลับเป็นความทรงจำอันอบอุ่นอย่างหาได้ยากของเขา
เมื่อก่อนยามเขามองดูซ่งชิงเศร้าเสียใจจากที่ไกลๆ ก็เคยคิดเพ้อฝันทำนองนี้
เพ้อฝันว่ากอดนางไว้พร้อมกับครวญเพลงนี้ให้นางฟัง ทำให้นางเข้านอนอย่างอุ่นใจ
เหยียนเจวี๋ยไม่รู้ว่าครวญเพลงอยู่นานเท่าไร ตนเองถึงได้หลับสนิทไปเช่นกัน
ครั้นลมหายใจเขาสม่ำเสมอแล้ว เฉินวั่งซูที่ก่อนหน้านี้ยังหลับอุตุกลับพลันลืมตาโพลง