บทที่ 5
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินหูแดงเล็กน้อย นางยกถ้วยชาของตนเองขึ้นดื่มไปหนึ่งอึกโดยที่แสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น แต่กลับมีเสียง ‘เอื๊อก’ ดังออกมา
เฉินวั่งซูเห็นดังนั้นก็รีบหยิบถ้วยเปล่าถ้วยหนึ่งบนโต๊ะมายื่นไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน “ขนมแป้งข้าวเหนียวนี้ย่อยยากซ้ำยังติดฟัน ท่านย่าบ้วนปากสักหน่อย หลานจะนำปลาบดก้อนจากหอกวนไห่มาให้ท่าน สิ่งนั้นแค่เข้าปากก็ละลายแล้ว ท่านลองชิมดูหน่อยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมองเฉินวั่งซูอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งก่อนพยักหน้า “มีใจกตัญญูยิ่งนักนะ”
จากที่ยืนยันด้วยสายตาดูเหมือนอีกฝ่ายจะติดพูดจากระทบกระเทียบจนเป็นนิสัยแล้ว
เฉินวั่งซูเบิกบานใจสุดๆ แต่กลับไม่แสดงออกมาภายนอก ฉีกหน้าใครก็ได้ แต่จะฉีกหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเฉินไม่ได้มิใช่หรือไร
ที่นางพูดเรื่องถอนหมั้นโต้งๆ มิได้มาจากอารมณ์ชั่ววูบ เรื่องการแต่งงานนี้ถูกกำหนดมาจากในวัง หากต้องการล้มเลิกก็ต้องมีผู้ที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งระดับที่ช่วยกราบทูลฮ่องเต้แทนนางได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกำเนิดจากตระกูลมีชื่อเสียง อีกทั้งยังได้รับแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้ง เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด
ก่อนหน้านี้นางยังนึกว่าต้องลงทุนลงแรงขนานใหญ่ จะอย่างไรผู้สูงศักดิ์ที่บุตรหลานมีตำแหน่งในราชสำนักก็ให้ความสำคัญกับเรื่องฮ่องเต้และขุนนาง…ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกลับเปิดกว้างเกินคาด ทำให้นางโล่งอกอย่างแท้จริง
เฉินวั่งซูวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
“มิใช่บอกว่าห้ามเอะอะให้เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าจะได้ไม่ถูกคนหาว่าจิตใจคับแคบ จนกระทบถึงชื่อเสียงคนสกุลเฉินหรือไร”
เฉินวั่งซูหัวเราะหึๆ บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หากองค์ชายเจ็ดผู้นั้นหน้าตางดงามกว่าเหยียนเจวี๋ยนางคงยอมให้เล่นบทง้อภรรยาดูสักหน่อย
“หากหลานสามารถทำให้ฝ่าบาททรงยอมล้มเลิกการอภิเษกสมรส สกุลเฉินเราช่วยคลายเรื่องร้อนให้เขา ยื่นทางลงให้เขา แสดงท่วงทีความเป็นตระกูลใหญ่ของสกุลเฉินเราได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ท่านย่ายินดีจะช่วยไปยื่นบันไดลงทางนั้นแทนหลานหรือไม่เล่าเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินจ้องมองเฉินวั่งซูอย่างค่อนข้างสนอกสนใจ “เจ้ามีปัญญาทำได้?”
เฉินวั่งซูแววตาวูบไหว เดินไปด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าเฉินแล้วนวดบ่าให้อีกฝ่าย “หากหลานทำไม่ได้ก็จะยอมแต่งงานกับองค์ชายเจ็ดโดยไม่ปริปากบ่น แต่หากทำได้เรื่องแต่งงานของหลานก็ช่วยฟังความเห็นของหลานด้วย…ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ลมปากเชื่อถือไม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกล่าวเบาๆ ก่อนจับมือเฉินวั่งซูลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ ได้เวลากินอาหารเย็นแล้ว พออายุมากแล้วอาหารเย็นต้องกินเร็วหน่อย มิเช่นนั้นจะไม่ย่อย พอดีเลย จะได้ลองกินปลาบดก้อนของเจ้าด้วย”
เฉินวั่งซูลอบบ่นนางจิ้งจอกเฒ่าในใจ นี่คือกำลังบอกว่าจะเป็นล่อหรือเป็นม้า ต้องจูงออกมาวิ่งดูก่อนสินะ!
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยเสียงที่ยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามขึ้น “ก็เหมือนกับประตูใหญ่สีแดงชาดของบรรดาจวนขุนนางชนชั้นสูง อายุมากแล้ว ทนต่อการถูกเตะถูกถีบหนักๆ ไม่ไหว ผิวหน้าก็เสียหาย เตะให้นุ่มนวลหน่อยไม่ได้หรือ เป็นหลักการเดียวกับปลาบดก้อนนั่นล่ะ”
หากนางทำเรื่องขายหน้าสกุลเฉิน เป็นไปได้สูงมากว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหยิบกรรไกรมาตัดหางนางทิ้งฉับๆ แน่นอนว่ามิใช่ส่งตัวไปเป็นขันทีในวัง แต่เกรงว่าจะส่งไปบวชอยู่ในสำนักชีมากกว่า
เฉินวั่งซูไม่กลัวโดยสิ้นเชิง “หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ต่อให้เป็นขันทีแล้วอย่างไร อยู่ท่ามกลางหมู่มวลคนงามทุกวัน สวรรค์บนดินชัดๆ!
เป็นแม่ชีแล้วอย่างไร นางเฉินวั่งซูก็ยังเป็นตัวร้ายอันดับสอง เกิดมาเพื่อรังแกคนงามสมองนิ่มอยู่แล้ว!
สองย่าหลานเดินมุ่งหน้าออกจากห้องด้วยท่าทางสนิทสนมอบอุ่น
ครั้นจะถึงหน้าประตูฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตนเองเรียกตัวเฉินวั่งซูมาเพื่อไต่สวนเอาความ ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสั่งให้นางสงบใจทบทวนความผิด แต่กลับถูกความคิดอันน่าตกตะลึงนั้นของนางขัดจังหวะจนถึงกับลืมไป
เฉินวั่งซูพินิจมองนางแล้วก็ทักท้วงกลับไปทันควัน “ลงโทษไม่ได้นะเจ้าคะท่านย่า! หากลงโทษ มิใช่คนจะพลอยรู้กันทั่วหรือว่าข้าทำความผิด เรื่องที่ป่าท้อมิใช่จะปิดไม่มิดเอาหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินปรายตามองนางปราดหนึ่งอย่างหมดคำจะกล่าว ถือว่าพูดได้มีเหตุผล