บทที่ 6
เฉินวั่งซูเก็บความคิดอยากลองกลับมา ทั้งอิจฉาและหวั่นเกรงอยู่บ้าง
นางอายุสิบหกแล้ว เรียนวรยุทธ์เอาป่านนี้ก็ไม่ทันแล้ว นางเคยแสดงหนังกำลังภายในมาไม่น้อย เวลาฉายก็ดูสวยงามดีอยู่หรอก แต่ที่จริงแล้วเวลาถ่ายทำไม่ต่างจากเป็ดปักกิ่งที่ถูกแขวนย่างในเตา ทำเอาคนเจ็บไปทั้งตัว
หากนางเป็นวิชาตัวเบาก็อยากจะกระโดดขึ้นกระโดดลง ย่ำกระเบื้องให้ครบทุกแผ่นในเมืองหลินอันเหมือน ‘ลิงป่า’ ที่อยู่ไม่ไกลนั่นเช่นกัน
เฉินวั่งซูคิดพลางขมวดคิ้ว นางไม่เป็น แต่ผู้อื่นเป็น เห็นทีฮูหยินผู้เฒ่าเฉินจะพูดได้มิผิด นางจะอวดดีเกินไปไม่ได้ ยังคงทำตัวเป็นมือมืดหลังม่าน* อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจะเหมาะสมกว่า
มิเช่นนั้นยังไม่ทันเล่นงานผู้อื่นก็มีหวังได้ถูกผู้อื่นบันดาลโทสะเอาดาบแทงเข้าก่อน เช่นนั้นละครเรื่องนี้จะมิใช่ล้มไม่เป็นท่าหรือไร
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาได้ความอย่างไรบ้าง”
มู่จิ่นมองดูรอบๆ ก่อนจะลดเสียงลง “สถานที่ตกปลาแห่งนั้นเป็นฮูหยินรองตุลาการถังแห่งศาลต้าหลี่ เอ่ยถึงในงานเลี้ยงน้ำชาเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูพยักหน้า “แล้วหลิ่วอิงผู้นั้นเล่า”
ระบบเป็นขยะที่ชอบแกล้งตาย มีเนื้อเรื่องคร่าวๆ มาให้แค่ร้อยตัวอักษร นางไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ศัตรู’ แม้แต่น้อย
มู่จิ่นมองเฉินวั่งซูอย่างระมัดระวังปราดหนึ่ง เห็นนางมิได้มีสีหน้าโศกาอาดูรถึงได้วางใจพูดอย่างใจกล้าว่า “หลิ่วอิงผู้นั้นเป็นบุตรสาวขุนนางเล็กๆ ผู้หนึ่ง เมื่อครั้งฝ่าบาทยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นผิงอ๋อง ยังประทับอยู่ที่จวนเดิมก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ สกุลหลิ่วอาศัยอยู่ในตรอกเดียวกัน มารดาของหลิ่วอิงมีฝีมือปักผ้าเป็นเลิศเหนือใคร จึงได้รับเชิญให้เข้าไปสอนเหล่าสตรีในจวน คิดว่าคงรู้จักกับองค์ชายเจ็ดตั้งแต่ยามนั้นแล้วเจ้าค่ะ”
หากมิใช่เมืองตงจิงถูกตีแตก ฮ่องเต้องค์ก่อนไร้พระโอรสสืบบัลลังก์ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นเพียงผิงอ๋องที่มิได้โดดเด่น องค์ชายเจ็ดกับหลิ่วอิงในยามนั้นก็ยังเด็ก เล่นด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติ
ที่ระบบบอกว่าเป็นสหายวัยเยาว์นั้นมิได้เกินจริง เฉินวั่งซูกล่าวปลงๆ ในใจ
“ถังฮูหยินผู้นั้นกับกวนซื่อมารดาของหลิ่วอิงเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่เรื่องราวลึกกว่านี้ เวลาสั้นเกินไปจึงไม่ทันได้หาใครมาสอบถามอย่างละเอียดเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูส่งสายตาชื่นชมให้นาง “ไม่ต้องสืบต่อแล้ว ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร”
เรื่องที่วันนี้พวกนางเจอ ‘ผี’ ในป่าท้อมิใช่เรื่องบังเอิญ ถังฮูหยินผู้นี้จะต้องสนิทสนมกับหลิ่วอิงไม่น้อยแน่นอน หลิ่วอิงมีฐานะเป็นนางเอก ย่อมจะเป็นที่รักของทุกผู้คน ทว่านางรักตนเอง อย่าว่าแต่ฮูหยินรองตุลาการเลย ต่อให้เป็นองค์หญิงนางก็หลอกได้
‘ลิงป่า’ ที่กระโดดไปกระโดดมาก่อนหน้านี้ไม่รู้กระโดดไปที่ใดแล้ว เสียงเพลงริมทะเลสาบซีหูคล้ายว่าอยู่ใกล้ยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนสามารถสดับเสียงหัวเราะเสียงตะโกนโห่ร้องได้แว่วๆ
เฉินวั่งซูยกมือขึ้นมา หอเล็กแห่งนี้ของนางสูงไม่ถึงร้อยฉื่อ* เลยเอื้อมเก็บดาวไม่ถึง
นางวางมือลง หันหลังกลับเข้าห้อง
ภายในห้องมีกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ไป๋ฉือได้เปลี่ยนมาใช้กำยานที่ทำให้คนใจสงบขึ้น ครั้นเห็นเฉินวั่งซูก็ทำความเคารพอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ภาพวาดที่องค์ชายเจ็ดทรงส่งมาที่คุณหนูสั่งให้ข้าหา หาเจอแล้วเจ้าค่ะ”
นั่นเป็นภาพดอกเหมยแดง เป็นของที่ขันทีส่งมาให้ตอนที่ฮ่องเต้เพิ่งมอบสมรสพระราชทาน บอกว่าเป็นภาพวาดฝีมือขององค์ชายเจ็ด ด้านบนมีตราประจำตัวประทับอยู่
ซ่งชิงไม่มีความรู้เรื่องภาพวาด แต่เฉินวั่งซูมี ก่อนหน้านี้นางโมโหกับเรื่องแต่งงานจึงมิเคยเปิดดู บัดนี้มาดูกลับเห็นความน่าสนใจอยู่หลายส่วน
องค์ชายเจ็ดวาดดอกเหมยได้งดงามจริงๆ แต่เทียบกับดอกเหมยแล้วเฉินวั่งซูรู้สึกว่ากลองป๋องแป๋งที่วางอยู่บนพื้นหิมะใต้ต้นเหมยนั้นวาดได้น่าประทับใจยิ่งกว่า แม้แต่รอยยิ้มบนหน้าเด็กผมแกละที่อยู่บนหน้ากลองนั้นยังสามารถเห็นได้ชัดเจน
ลายมือสื่อถึงตัวตน ลายเส้นภาพวาดก็สื่อถึงตัวตนเช่นกัน คนโบราณชมชอบความสง่างาม ยามวาดภาพมักวาดดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ไผ่ และดอกเบญจมาศ
เทียบกับความงามที่อยู่ในกรอบแล้วองค์ชายเจ็ดคงชื่นชอบเสน่ห์อันไม่ปรุงแต่งของกลองป๋องแป๋งมากกว่า
เฉินวั่งซูมีแผนการในใจแล้วจึงยิ้มกริ่มพลางจับพู่กันบนโต๊ะขึ้นมาแตะน้ำหมึก วาดเต่า ตัวหนึ่งลงที่กลองป๋องแป๋งนั้น ชมดูด้วยความพอใจเสร็จก็วางพู่กันลงแล้วทำท่าตบมือ
“นับแต่วันนี้ไปข้าเฉินวั่งซูจะเป็นแบบอย่างของสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลินอันนี้ เป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อมที่สุด”
องค์ชายเจ็ดยิ่งไม่ชอบสตรีเช่นใด นางก็จะเป็นสตรีเช่นนั้น!
ไป๋ฉือที่อยู่ด้านข้างมองดูเต่าตัวนั้นพลางพูดตะกุกตะกักด้วยท่าทางปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง “เดิมทีคุณหนูก็มิเป็นสองรองผู้ใด เป็นที่เลื่องลือเรื่อง…ความเพียบพร้อมอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
มู่จิ่นรีบกล่าวเออออ “นั่นสิเจ้าคะ เต่าที่คุณหนูของพวกเราวาดก็เป็นเต่าที่เพียบพร้อมเช่นกัน”
เฉินวั่งซูเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ดูสิ! ขนาดทะลุเข้ามาในนิยายก็ยังมีแฟนพันธุ์แท้คอยเป็นลูกคู่ คอยชมจนตัวลอย ฮ่าๆ