บทที่ 7
เป็นความจริงที่เหยียนเจวี๋ยมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทว่าแม้แต่นางที่ออกมาเที่ยวข้างนอกบ่อยครั้งยังเพิ่งจะเคยพบเขาหนแรกเมื่อวานนี้ แล้วเฉินเถียนที่ถูกกักตัวไว้ในจวนเนื่องจากร่างกายอ่อนแอไปรู้จักหน้าค่าตาของเขาได้อย่างไรกัน
เฉินวั่งซูเกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว
“เหตุใดน้องหญิงสามจึงพูดเช่นนี้ แม้ผู้คนมักจะกล่าวว่าคุณชายเหยียนรังแกบุรุษข่มเหงสตรี แต่รังแกบุรุษคนใด ข่มเหงสตรีนางใด เมื่อคิดดูดีๆ กลับบอกออกมาไม่ได้”
เฉินเถียนคล้ายว่าจะนึกถึงเรื่องน่ากลัวในอดีตอะไรได้จึงมีอาการสั่นสะท้านอีกครั้ง นางลดเสียงลงพูดว่า “ข้า…ข้า…ข้าเห็นเองกับตา วันตงจื้อ เมื่อปีกลาย ยาอุ่นใจของข้าหมด ท่านย่าจึงพาข้าไปหาแม่นางฉี ให้นางจัดมาให้ใหม่ ขณะออกจากโรงหมอข้าเห็นเองกับตาว่า…คุณชายเหยียนผู้นั้นเกี้ยวพานหญิงสาวกลางถนน ชิงเอาขนเตียว ที่พันอยู่บนคอนางได้แล้วก็ขี่ม้าลอยนวลจากไป วันนั้นฝนตก กีบเท้าม้าย่ำน้ำกระเซ็นใส่หมวกม่านแพรของข้า…”
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปากน้อยๆ พยายามค้นหาเรื่องในอดีตจากในสมอง
จริงสิ วันตงจื้อเมื่อปีกลายหลังเฉินเถียนกลับมาจากข้างนอกก็มีท่าทางเหมือนได้รับความตระหนกตกใจ หลังจากนั้นก็ล้มป่วยหนัก แล้วก็มิได้ออกจากจวนอีกนานสองสามเดือน
ทว่า…น้องสาวเอ๋ย เรื่องชิงขนเตียวนั่นต่างกับเรื่องฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านเป็นหมื่นแปดพันโยชน์!
เฉินวั่งซูมองดูสภาพดุจกระต่ายน้อยได้รับความตกใจของเฉินเถียนแล้วก็ฝืนกลืนคำพูดนี้ลงไปก่อนลูบศีรษะนาง “น้องหญิงสามไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ มีแต่ข้าจะเป็นฝ่ายฉุดผู้อื่น มิใช่ผู้อื่นเป็นฝ่ายฉุดข้า ถึงจะมาฉุดก็ต้องให้ข้าอนุญาตเสียก่อน”
เฉินเถียนรู้สึกว่าหูของตนถูกน้ำเข้าแล้ว นางส่งเสียง “อา” ออกมาเสียงหนึ่งด้วยความงุนงง
เฉินวั่งซูกระแอมกระไอให้คอโล่ง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
นางพูดพลางเดินไปหน้าประตู แง้มมันออกเบาๆ ทว่าเหยียนเจวี๋ยที่อยู่อีกฟากประตูไม่อยู่แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ในเสื้อตัวสั้นผู้หนึ่งกำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่
ร้านน้ำชามีแขกมาจำนวนมาก พริบตาเดียวก็ครึกครื้นประหนึ่งตลาด
บริเวณใกล้กับร้านน้ำชารุ่ยฉีแห่งนี้มีสำนักศึกษาหลายแห่ง ทุกวันที่ลงท้ายด้วยห้าในแต่ละเดือนจะมีงานกวี บรรดากวีและบัณฑิตจะมาประชันกลอนและถกปรัชญาคัมภีร์กันที่ร้านชั้นล่าง ส่วนในห้องส่วนตัวชั้นบนโดยมากจะถูกครองโดยหญิงสาวที่มาชมความครึกครื้น รวมถึงเหล่าพหูสูตจำนวนหนึ่งที่มาทดสอบความรู้
หากผู้ใดไปเข้าตาผู้สูงศักดิ์เข้าจนถูกรับตัวเป็นศิษย์ นั่นก็เป็นเรื่องดีเรื่องใหญ่ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว
ร้านน้ำชาทั้งร้านเป็นแบบล้อมลานเรือนสี่ด้านขนาดมโหฬาร
ห้องส่วนตัวบนชั้นสองฝั่งที่พวกนางนั่งนี้อยู่ติดกับถนน มีไว้สำหรับชมทิวทัศน์ ส่วนฝั่งตรงข้ามหรือก็คือฝั่งที่เหยียนเจวี๋ยนั่งอยู่ก่อนหน้านี้มีไว้สำหรับชมงานกวี
เรื่องการหมั้นหมายกับสกุลโต้วยังไม่ถูกกำหนด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถึงได้นัดไว้ที่นี่ เพื่อที่หากบังเอิญถูกคนรู้จักมาพบเข้าจะได้มีข้อแก้ตัว
งานกวีเริ่มแล้ว เฉินวั่งซูจึงแง้มประตูบานที่เหลือออกเหมือนบานก่อนหน้า ครั้นหันหน้าไปเตรียมจะเรียกเฉินเถียนกลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตนเองตาใส ซ้ำในดวงตายังมีประกายน้ำวิบวับ
ประกายน้ำตาทำนองนี้เฉินวั่งซูคุ้นเคยยิ่งกว่าอะไร
นางแหงนหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินไปหยุดเบื้องหน้าเฉินเถียนด้วยท่าทางสง่างาม จับมือเล็กๆ ของฝ่ายหลังไว้ “ไม่ต้องกลัว นับดูเวลาคนแซ่โต้วผู้นั้นก็ใกล้จะมาแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เหยียนเจวี๋ยไปนั่งอยู่ในห้องนั้นได้อย่างไร แต่บัดนี้เขาจากไปแล้ว”
มิใช่นางโอ้อวด แต่เรื่องเกี้ยวพาราสีสตรีพวกซื่อบื้อพวกนั้นก็ยังต้องหลบให้นาง
เฉินเถียนหน้าแดง พยักหน้าอย่างน่ารักว่าง่าย
ไม่ถึงครู่เดียวเสียงตะโกนของเสี่ยวเอ้อร์ก็ดังมาจากหน้าประตูนั้น “คุณชายโต้ว วันนี้ท่านมาฟังกลอนด้วยหรือขอรับ! องค์ชายสามกับองค์ชายเจ็ดก็เสด็จมาเช่นกัน”
เฉินเถียนได้ยินก็หน้าแดงเถือก ใช้หางตาชำเลืองมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง ทว่าเฉินวั่งซูกลับไม่มีท่าทีประหลาดใจสักกระผีก ยิ้มให้นางพลางชี้นิ้วไปที่ประตู
“อืม” ระหว่างนั้นเสียงบุรุษทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตู
โต้วอี้อวิ๋นผู้นั้นมองเข้ามาในประตูแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าห้องตรงข้ามไปด้วยอาการหูแดง
เฉินวั่งซูมองดูพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แม้จะงามเทียบเหยียนเจวี๋ยไม่ได้ แต่ก็มีคิ้วพาดเฉียง ตาเป็นประกาย หน้าตาดูเข้าทียิ่งยวด นับว่าเป็นคนงามผู้หนึ่งแล้ว
เฉินเถียนก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยขึ้นมาเป็นครึ่งค่อนวัน แม้แต่ลำคอก็แดงเถือกไปหมดไม่ต่างจากกุ้งต้ม
เฉินวั่งซูรินชาให้นาง แล้วก็ยื่นขนมชิ้นหนึ่งให้อีก “รอเจ้าหายหน้าแดงแล้ว พวกเราก็ไปจากที่นี่กัน”
นางพูดพลางนับเวลาในใจ สาม สอง หนึ่ง…